วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การเขียนแบบคัดกรอง ปศพพ. : การเขียนที่แสดง "ความเชื่อมโยง"

ผมไม่ใช่กรรมการประเมินฯ อีกทั้งไม่เคยมีส่วนร่วมใดๆ กับการประชุมเพื่อการประเมินฯ แต่จากประสบการณ์การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษาที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามากๆ คือ "ความเชื่อมโยง" การมองอย่างองค์รวม....



ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ครับ



...โรงเรียนและชุมชนได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องตะบันน้ำ ปั๊มน้ำจากฝายน้ำล้นลำคันฉูหน้าโรงเรียนขึ้นเก็บไว้บนถังน้ำขนาดใหญ่ไว้ที่สูง ทำให้มีน้ำใช้ในการทำการเกษตรตลอดระยะเวลาที่มีน้ำไหลผ่าน โรงเรียนได้ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านทำฐานการเรียนรู้การทำสวนมะนาวครบวงจร ตั้งแต่ปลูก ขยายพันธุ์ จนถึงแจกจ่าย ค้าขาย แปรรูป ทำให้นักเรียนสามารถปลูก ตัดแต่งกิ่ง ตอน ดูแล และขยายพันธุ์มะนาวได้ด้วยตัวเอง ผลผลิตที่เหลือจากการทำเป็นของฝากสำหรับแขกและบริโภค ส่วนหนึ่งนำไปขายเป็นรายได้ให้แก่โรงเรียน มะนาวที่ขายไม่หมด นำมาทำเป็นมะนาวดองอัดกระป๋องขาย เด็กกลุ่มหนึ่งเลี้ยงปลาดุก ปลาช่อน เด็กกลุ่มหนึ่งเลี้ยงกบเพื่อเป็นอาหารกลางวัน เด็กกลุ่มหนึ่งเลี้ยงหมูป่า มูลหมูป่าถูกนำไปเป็นปุ๋ยในไร่มะนาว อีกส่วนหนึ่งนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพโดยผสมกับเศษใบไม้แห้งในโรงเรียน ปุ๋ยหมักชีวภาพเหล่านี้ส่วนหนึ่งนำไปใช้เป็นปุ๋ยสำหรับพืชผักสวนครัว ส่วนหนึ่งใช้ในโรงเพาะชำกล้าไม้ พืชผักสวนครัวถูกนำไปทำเป็นอาหารกลางวัน เศษอาหารจากอาหารกลางวันถูกนำมาทำเป็นน้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพส่วนหนึ่งกลับไปใช้ทำความสะอาดคอกหมูป่า การจัดการเรียนรู้และสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะชีวิตที่สอดคล้องกับบริบททางภูมิสังคมของโรงเรียนได้ดี... 

ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงความเชื่อมโยงของฐานการเรียนรู้ต่างๆ เข้าด้วยกันได้ดี แสดงให้เห็นเหตุและผลต่างๆ ที่ต้องมีฐานการเรียนรู้นั้นๆ... 


๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙



สิ่งสำคัญที่สุดในการเขียนแบบคัดกรองเพื่อประกอบการประเมินฯ คือ การนำหลัก ปศพพ. มาใช้เขียนแบบคัดกรองนั่นเอง...ท่านอาจตีความไปได้หลากหลายว่าจะนำมาใช้ อย่างไร ......  แต่อย่างน้อยผมคิดว่าน่าจะสอดคล้องกับสิ่งที่ผมจะเสนอต่อไปนี้

๑) เขียนให้เห็นเหตุเห็นผล สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (อ่านที่นี่) เขียนให้ตรงประเด็น
๒) เขียนให้เห็นกระบวนการและวิธีการในการคิด ตัดสินใจ และการทำที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างให้เห็นความชัดเจนว่า สิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิด สิ่งที่ควรสิ่งที่ไม่ควร ฯลฯ
๓) มีกระบวนการเขียนที่รอบคอบ มีการระวังการพิมพ์ผิดถูก ใช้ภาคผนวกเพื่อขยายรายละเอียดให้การสื่อสารชัดเจน มั่นใจว่าจะสื่อสารได้อย่างถูกต้อง
๔) เขียนให้เห็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีการใช้ทฤษฎี หลักการ หรือเครื่องมืออะไร อย่างไร ในการขับเคลื่อน และประเมินผล ฯลฯ
๕) เขียนความจริง ไม่เขียนเกินความจริง เขียนในสิ่งที่ได้ปฏิบัติมา
   

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เวทีแลกเปลี่ยนและฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การเขียนแบบคัดกรองประกอบการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ปศพพ. (๒)

การบรรยายของอาจารย์ศศินีย์ เรื่อง การเขียนแบบคัดกรองประกอบการขอรับการประเมินเป็นโรงเรียนศูยน์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) ทำให้ผมได้เรียนรู้หลายประเด็น ที่เด่นๆ เห็นดังนี้ครับ


สาเหตุที่ต้องมีแบบคัดกรองที่ดี เพราะการประเมินจริงที่ใช้เวลาเพียงวันเดียวนั้น การสื่อสารให้กรรมการได้เข้าใจ และเห็นความพร้อมของโรงเรียนในทุกๆ ด้าน (ตามเกณ์ประเมิน) ก่อนวันประเมินเป็นสิ่งจำเป็น กรรมการควรจะรู้ว่าจะไปดูอะไรในวันประเมินจริง ซึ่งจะเน้นการประเมินผลสำเร็จหรือผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนฯ คือ อุปนิสัย "พอเพียง" ของนักเรียน  และวิธีการนำ ปศพพ. มาใช้ในโรงเรียน โดยดูจาก การสัมภาษณ์ หรือจากร่องรอย หลักฐาน ต่างๆ ที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้


ความพร้อมที่สำคัญหรือถือเป็นคุณลักษณะสำคัญของโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ แสดงดังสไลด์ด้านล่าง
 

ท่านบอกว่า... การเขียนแบบคัดกรองฯ นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียน เป็นหน้าที่ของโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ ที่จำเป็นต้อง "สื่อสาร" สื่อสารความสำเร็จและวิธีการนำมาใช้จนเกิดผลสำเร็จนั้น ดังนั้นเราควรมองว่าเป็นการเขียนให้ผู้ที่มาศึกษาดูงานหรือมาเยี่ยมโรงเรียนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกรรมการที่จะมาประเมินฯ




หลักในการเขียนแบบคัดกรองฯ 
  • ต้องเขียนให้เห็น "วิธีคิด" หรือ "กระบวนการคิด" "กระบวนการทำ" ในการขับเคลื่อนฯ
  • ต้องเขียนให้เห็น "วิธีการทำ" "วิธีการนำไปใช้" ว่าทำอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร วัดผลประเมินอย่างไร ฯลฯ 
  • ต้องเขียนให้เห็น "ความสำเร็จ" คือ เขียนให้เห็นผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมของบุคลากรทั้ง ๔ คือ ผอ. ครู นักเรียน และ กรรมการสถานศึกษา 
  • เขียนให้เห็น "ความเชื่อมโยง" เป็นเรื่องราว เห็นเหตุเห็นผล เห็นบริบท สอดคล้องกัน โดยเขียนให้เห็นภาพรวมก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดหรือยกตัวอย่างเด่นๆ 
เสนอแนะกระบวนการเขียนแบบคัดกรอง
  • ทุกคนต้องทำความเข้าใจเกณฑ์ก้าวหน้า (เกณฑ์ประเมินก่อน) เนื่องจากเป็นเกณฑ์เชิงคุณภาพ อาจจัดการให้มีการแลกเปลี่ยน ตีความ อภิปราย เกี่ยวกับเกณฑ์ร่วมกัน ฯลฯ
  • ทำกิจกรรม "ถอดบทเรียน" การขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน โดยจัดให้มีการประเมินผลสำเร็จของโรงเรียนอย่างเป็นระบบก่อน เช่น มีการสัมภาษณ์ครูแกนนำ หรือเด็กแกนนำ ให้ทุกคนเขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ขับเคลื่อนของตนเอง ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนทราบผลสำเร็จของการขับเคลื่อน ซึ่งจะส่งผลให้ตระหนักและภูมิใจร่วมกัน 
  • ครูแกนนำขับเคลื่อนหรือผู้อำนวยการ นำผลสรุปจากการถอดบทเรียนและเรื่องเล่าจากทุกๆ ส่วน มาเรียบเรียงตามแบบฟอร์มของแบบคัดกรองฯ 
  • อ่านตรวจทาน แก้ไขคำผิด จับรูปแบบให้เรียบร้อย (ควรอยู่ในไฟล์เดียวกัน)
  • ส่งมายังมหาวิทยาลัย เพื่อจัดส่งไปยังมูลนิธิสยามกัมมาจล และส่วนกลางต่อไป 
ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเขียนแบบคัดกรองฯ ของกรรมการคัดกรองฯ






เทคนิคและข้อเสนอแนะในการเขียนแบบคัดกรองฯ
  • ต้องเขียนให้ตรงบทบาทหน้าที่ของตนเอง กล่าวคือ ผู้บริหาร/ครูแกนนำขับเคลื่อน เขียนเรื่องบริหารจัดการและการขับเคลื่อนฯ  ครูเขียนถึงการจัดการเรียนการสอนเป็นต้น โดย อาจารย์ศศินีย์ได้ เสนอแนะโจทย์ของแต่ละฝ่าย ดังสไลด์ต่อไปนี้ 






  • ต้องไม่เขียนแบบ "ทวนเกณฑ์" กรรมการฯ พบว่า บางโรงเรียน นำข้อความต่างๆ ที่เขียนไว้ในเกณฑ์ก้าวหน้า มาเขียนแบบ "ทวนโจทย์" แต่ไม่เห็นวิธีการว่าทำอย่างไร วัดอย่างไร จึงทำให้ถูกตีกลับให้ต้องเขียนใหม่
  • ในส่วนเรื่องเล่า ต้องไม่เขียนแบบ "ตอบคำถาม" ให้เขียนเป็น "เรื่องเล่า" ที่ผู้อ่านจะรู้และเข้าใจตามประเด็นโจทย์ต่างๆ ได้เองหลังจากอ่านเสร็จ โปรดดูตัวอย่างในไฟล์เรื่องเล่าตัวอย่าง (ดาวน์โหลดที่นี่)
  • เขียนส่วนเหตุผลที่ขอรับการประเมิน ให้เห็นแรงจูงใจ และความพร้อมของโรงเรียนด้านต่างๆ 
  • เขียนให้เห็นภาพรวมก่อนในเรื่องนั้นๆ แล้วค่อยยกตัวอย่างเรื่องที่เด่นๆ ให้เห็นตามหลักการเขียนฯข้างต้น
  • ฐานการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเขียนรายละเอียดทุกฐาน เลือกเด่นๆ ตามความเหมาะสม ไม่เกิน ๓ ฐาน  
  • จำนวนเด็กนักเรียนแกนนำ ควรใส่ตามจริงๆ มีบางโรงเรียนใส่จำนวนนักเรียนแกนนำ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของนักเรียน แสดงว่า กรรมการสามารถที่จะสอบถามติดตามหลักฐานต่างๆ ได้จากใครก็ได้ในจำนวนนั้นๆ..
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ท่านสามารถดาวน์โหลด เพาเวอร์พอยท์ ของ อ.ศศินี ลิ้มพงศ์ ได้ที่นี่ และ ไฟล์บันทึกเสียง ได้ทีนี่ครับ

เวทีแลกเปลี่ยนและฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การเขียนแบบคัดกรองประกอบการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ปศพพ. (๑)

วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ มูลนิธิสยามกัมมาจล โดย อาจารย์ศศินี ลิ้มพงศ์ ผู้จัดการโครงการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา ร่วมกับทีมขับเคลื่อนฯ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ "การเขียนแบบคัดกรองประกอบการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ร.ร. ศรร. ปศพพ.) ..... บันทึกนี้ผมจะนำทั้ง "วิธีคิด" "วิธีการ" และ "ผลลัพธ์" ที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมมาเล่าให้ฟัง... และมั่นใจว่า จะมีประโยชน์ต่อเขียนแบบคัดกรองของท่านแน่นอน...



ปัญหาที่เป็น "เหตุ" (Cause) ให้เราคือ การเขียนแบบคัดกรองของโรงเรียน ตามแบบฟอร์มของกระทรวงศึกษาธิการ (ดาวน์โหลดที่นี่) ยังไม่สื่อถึง "วิธีคิด" "วิธีทำ" "และ "ผลลัพธ์" ให้คณะกรรมการคัดกรองฯ เข้าใจได้ ทำให้เกิด "ผล" (Effect) คือ หลายโรงเรียนถูกตีกลับให้ต้องแก้ไขซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อจำกัดด้านเวลา และทางคณะกรรมการคัดกรองฯ ได้มีข้อความเห็นและเสนอแนะในการเขียนแบบคัดกรองฯ หลายประการที่สมควรนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทำความเข้าใจน่าจะเป็นประโยชน์ยิ่งสำหรับโรงเรียนที่กำลังจะเขียนแบบคัดกรองฯ จึงได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น

กลุ่มเป้าหมายคือผู้อำนวยการและครูแกนนำขับเคลื่อนจากโรงเรียนในโครงการฯ ทั้งอีสานตอนบนและอีสานตอนล่าง ซึ่งขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนฯ มาแล้วหลายปี บางโรงเรียนมีความพร้อมเต็มที่แล้วที่จะขอรับการประเมินเป็น ร.ร. ศรร. ปศพพ. รวมผู้มาเข้าร่วมประมาณ ๑๐๐ ท่าน ผู้เข้าร่วมหลายท่านสะท้อนให้ทราบว่า กิจกรรมวันนี้ทำให้ตนเองรู้ความเข้าใจแนวทางและวิธีการเขียนแบบคัดกรอง และเห็นจุดบกพร่องแบบคัดกรองของตนเองแล้ว และจะขอกลับไปปรับแก้ไขใหม่...สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาร่วมคราวนี้ บันทึกนี้ได้เก็บประเด็น เนื้อหา และหลักการต่างๆ ไว้พอสมควร อีกทั้งยังมีเอกสารประกอบ (ดาวน์โหลดที่นี่) สามารถศึกษาด้วยตนเองให้เข้าใจได้ไม่ยาก...


ผม BAR ว่า กิจกรรมคราวนี้ ผู้เข้าร่วมควรจะได้ประโยชน์ใน ๓ ประเด็นสำคัญคือ ๑) ได้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการเขียนแบบคัดกรองฯ ได้เรียนรู้จากข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นแล้วจากข้อความเห็นของคณะกรรมการคัดกรองฯ ๒) ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกฟังและจับประเด็นจากการฟังเรื่องเล่าของเพื่อน และ ๓) ได้ฝึกเขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ขับเคลื่อนฯ ของตนเอง  จึงได้ออกแบบกิจกรรมเป็น ๔ ช่วง ได้แก่
  • ช่วงที่ ๑ ก่อนเบรคเช้า เป็นการฟังบรรยายจาก อาจารย์ศศินี ลิ้มพงศ์ เรื่อง การเขียนแบบคัดกรองเพื่อขอรับการประเมินฯ 
  • ช่วงที่ ๒ หลังเบรคเช้า แบ่งกลุ่ม ๓ คน แล้วเวียนกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย คนที่ ๑ เป็นผู้เล่าเรื่อง คนที่ ๒ เป็นผู้ฟังและซักถาม คนที่ ๓ เป็นผู้จดบันทึก เมื่อเวียนครบรอบแล้ว ทุกจะต้องเขียนเรื่องเล่าที่ได้ฟังตอนที่ตนเองเป็น คนที่ ๓ ส่งให้คนที่ ๑ อ่าน 


  • ช่วงที่ ๓ หลังรับประทานอาหารเที่ยง เรียนรู้จากบันทึกเรื่องเล่าที่เพื่อนเขียนให้ แล้ว เขียนเรื่องเล่าของตนเองใหม่ 
  • ช่วงที่ ๔ หลังเบรคบ่าย เป็นการสรุปเวที AAR  และเปิดวงให้ทุกคนได้ตั้งคำถามกับวิทยากร ตอบคำถาม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดทั้งการนัดแนะวางแผนการดำเนินงานต่อไป 
 อ่านผลการทำกิจกรรมในแต่ละช่วงได้ในบันทึกต่อไปครับ

 ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
 ผม AAR กับตนเองว่า ผมได้บรรลุทุกประเด็นที่ได้ออกแบบไว้ ทั้งทุกคนได้ ฟังประสบการณ์การตรวจแบบคัดกรองฯ เข้าใจแนวทางในการเขียน ทุกคนได้ฝึกฟังเรื่องเล่าของคนอื่นและรู้ถึงจุดบกพร่องของการเล่าเรื่องของเพื่อนหรือเห็นจุดบกพร่องในการเขียนเรื่องเล่าของตน ซึ่งจะแสดงถึงความยากของการสื่อสารด้วยการเขียน และที่สำคัญทุกคนได้ฝึกเขียนเรื่องเล่าของตนเอง เรื่องเล่าที่เราได้เหล่านี้จะนำมาเผยแพร่วิเคราะห์ตีความเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปครับ...

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวพระราชดำริด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ (๕) : ทรงเตือนสติและให้กำลังใจ

ผม "ตัด" แล้ว "วาง" ไม่ได้ "ตัดต่อ" และไม่ได้ "คิดต่อ" หรือ "เขียนเติม" แต่อย่างใด อีกทั้งยังระวังไม่ให้ผิดความหมายเดิมของพระราชดำริอย่างที่สุด เพื่อให้ท่านมั่นใจในการน้อมนำไปปฏิบัติครับ

มีบางตอนที่ท่านทรงเตือนสติ
  • ...บัดนี้ท่านเป็นบัณฑิตมีปริญญาบัตรแล้วควรจะต้องได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือโดยทันทีดั่งนี้ ก็เป็นความคิดที่ผิด ที่ถูกนั้น ท่านต้องลงมือทำงานใช้ความรู้ที่ได้มาให้เป็นประโยชน์แก่การงาน แสดงความสามารถเสียก่อน...เพื่อได้มาซึ่งความเชื่อถือและไว้วางใจ และเมื่อนั้นแหละ ค่าปริญญษบัตรจึงจะบังเกิดขึ้น...พระบรมราโชวาท (มิถุนยน ๒๔๙๖)
  • ...ถ้ามองให้ถี่ถ้วนรอบด้านแล้ว จะเห็นว่า การมุ่งสอนคนให้เก่งเป็นเกณฑ์ อาจทำให้เกิดจุดบกพร่องต่างๆ ขึ้นในตัวบุคคลไม่น้อย ที่สำคัญมีดังนี้ 
    • ข้อหนึ่ง บกพร่องในความพิจารณาที่รอบคอบและกว้างไกล เพราะใจร้อนเร่งทำการให้เสร็จโดยเร็ว เป็นเหตุให้การงานผิดพลาด ขัดข้องและล้มเหลว
    • ข้อสอง บกพร่องในความนับถือและเกรงใจผู้อื่น เพราะถือตนว่าเป็นเลิศเป็นเหตุให้เย่อหยิ่งมองข้ามความสำคัญของผู้อื่น และมักก่อความขัดแย้งทำลายไมตรีจิตมิตรภาพตลอดจนความสามัคคีระหว่างกัน 
    • ข้อสาม บกพร่องในความมัธยัสถ์พอเหมาะพอดีในการกระทำทั้งปวง เพราะมุ่งหน้าแต่จะทำตัวให้เด่นให้ก้าวหน้า เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ 
    • ข้อสี่ บกพร่องในจริยธรรมและความรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะมุ่งแต่จะแสวงหาประโยชน์เฉพาะตัวให้เพิ่มพูนขึ้น เป็นเหตุให้ทำความผิดและความชั่วทุจริตได้โดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน
และบางตอนท่านทรงให้กำลังใจ
  •  ...ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกล่าววิจารณ์ถึงครูอยู่บ่อยๆ ว่า ในปัจจุบันนี้สถาบันฝ่ายครูเสื่อมลงไป คำกล่าวนั้นอ้างด้วยว่าเป็นเพราะผู้ที่มาเข้าเล่าเรียนทางครูส่วนมากทีเดียว เป็นนผู้ที่ด้อยด้วยกำลังปัญญาและกำลังทางอื่นๆ ไม่สามารถหรือไม่มีโอกาสจะเรียนวิชาทางอื่นได้แล้ว บ้านเมืองของเราจึงมีแต่ครูที่มีคุณภาพไม่ถึงขนาด ทั้งทางด้านความรู้ ทางด้านการทำงาน และทางด้านความประพฤติ ทำให้การศึกษาของเด็กเรียวลงทุกที ข้อวิจารณ์นี้จะเป็นความจริงหรือไม่นั้น มิใช่เรื่องสำคัญที่ท่านหรือผู้ใดที่จะต้องโต้แย้ง สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ที่เป็นครูและผู้บริหารทุกฝ่ายทุกคน จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสถาบันครูมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านจะต้องทำใจให้เข้มแข็ง ต้องมั่งคงในอุดมคติ ต้องรวบรวมกำลังกาย กำลังความคิดและสติปัญญา ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยความกล้าหาญอดทนและสุจริต ปฏิบัติงานปฏิบัติตนให้ดีที่สุด ให้สมเป็นครูที่แท้...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ในหลวงย้ำมากว่า ครูเป็นคนพิเศษ ต้องเสียสละตลอดชีวิต... ขอบูชาครูที่แท้ทั้งประเทศครับ...

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนวพระราชดำริด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ (๓) : วิธีการจัดการเรียนรู้

 ผม "ตัด" แล้ว "วาง" ไม่ได้ "ตัดต่อ" และไม่ได้ "คิดต่อ" หรือ "เขียนเติม" แต่อย่างใด อีกทั้งยังระวังไม่ให้ผิดความหมายเดิมของพระราชดำริอย่างที่สุด เพื่อให้ท่านมั่นใจในการน้อมนำไปปฏิบัติครับ

วิธีการจัดการเรียนรู้ สำหรับครูไทย จากในหลวง รัชกาลที่ ๙
  • ...ไม่ควรลืมว่า วิชาการทั้งปวงนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงกัน และต่างส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่ จะต้องนำมาใช้ผสมผสานกันให้ถูกต้องพอเหมาะพอดีอยู่เสมอ เพราะอาจพูดได้ว่า วิชาการใดๆ ก็ตาม จะใช้ให้เป็นประโยชน์แต่เพียงลำพังอย่างเดียวมิได้...
  • ...เบื้องต้นต้องเลิกคิดว่า เรียนวิชาไว้เพื่อสอบไล่ เพราะในชีวิตของเรา เราไม่ได้อยู่กับการกาผิดกาถูกในข้อสอบ หากแต่อยู่กับการทำงานและการวินิจฉัยปัญหาสารพัด ทางที่ถูก เราจะต้องขวนขวายเปิดตาเปิดใจให้เรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งโดยทางกว้างและทางลึก...
  • ...เมื่อจะศึกษาเรื่องใดก็ให้พยายามจับเค้าโครงของเรื่องนั้นให้ได้ก่อน แล้วจึงพยายามมองลงไปในส่วนละเอียดทีละส่วน ให้เห็นชัดโดยถ้วนถี่ เมื่อรู้แล้วก็นำมาคิดพิจารณาให้เห็นประเด็น ให้เห็นส่วนที่เป็นเหตุส่วนที่เป็นผล ให้เห็นลำดับความเกาะเกี่ยวต่อเนื่องแห่งเหตุและผลนั้นๆ ไปจนตลอดให้เข้าใจโดยชัดเจนแน่นอน เพื่อให้สามารถสำเหนียกกำหนดและจดจำไว้ได้ ทั้งส่วนที่เป็นหลักเป็นทฤษฎี ทั้งส่วนเรื่องราวและรายละเอียด...
  • ...ควรจะศึกษาให้ตลอด ครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เรียนรู้แต่เพียงบางส่วนบางตอน หรือเพ่งเล็งเฉพาะแต่เพียงบางแง่บางมุม อีกประการหนึ่ง ที่จะต้องปฏิบัติประกอบพร้อมกันไปเสมอ คือต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้นๆ ด้วยความคิด จิตใจที่ตั่งมั่นเป็นปรกติ และเที่ยงตรงเป็นกลาง ไม่ยอมให้รู้เห็นและเข้าใจตามอำนาจเหนี่ยนำของอคติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชอบหรือฝ่ายชัง มิฉะนั้นความรู้ที่เกิดขึ้นจะเป็นความรู้แท้ หากแต่เป็นความรู้ที่ถูกอำพรางไว้ หรือคลาดเคลื่อนวิปริตไปต่างๆ จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ โดยปราศจากโทษไม่ได้...
  • ...การให้การศึกษาแก่เด็กต้องเริ่มตั้งแต่เกิด ขึ้นต้นก็ต้องสอนให้รู้จักใช้อวัยวะและประสาทส่วนต่างๆ ต้องคอยควบคุมฝึกหัด จนสามารถใช้อวัยวะและประสาทส่วนนั้นๆ ทำกิจวัตรทั้งปวงของตนเองได้...ถัดมา ต้องสอนให้รู้จักทำการต่างๆ ให้รู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการ ให้ได้มากขึ้นเพื่อทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบาย...ฝึกกายให้มีความคล่องแคล่วชำนิชำนาญและสามารถในการปฏิบัติ ประกอบกับการสอนวิชาความรู้ต่างๆ อันเป็นพื้นฐานสำหรับการประกอบอาชีพเลี้ยงตัว...อีกขั้นหนึ่ง คือการสอนและฝึกฝนให้เรียนรู้วิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นไป พร้อมทั้งการฝึกฝนให้รู้จักใช้เหตุใช้ผล สติปัญญาและหาหลักการของชีวิต เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามทั้งทางกายและทางความคิด...
  • ...ในด้านที่ว่าจะหาความรู้ที่จะเรียนจะสอนนักเรียนอย่างไร เราต้องศึกษาว่าเด็กเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็เรียนจากเด็กเหมือนกัน...
  • ...แต่โบราณกาลมาครูได้รับการเคารพกราบไหว้อย่างเต็มที่ เพราะว่าเป็นผู้ที่ให้ความรู้ มาบัดนี้ครูส่วนมากถือการสอนเป็นอาชีพสำหรับหาเงิน เพราะว่าถูกสถานการณ์ต่างๆ บังคับ คือต้องมีอยู่มีกิน อันนี้ก็ขัดกัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าครูจะสามารถสอนอย่างเก่าได้โดยที่ครูต่างทำตัวให้น่าเคารพ แม้จะฝืดเคืองก็ยังกัดฟันสอนและแจกจ่ายความรู้ออกไป ดังนี้ก็จะได้ความเคารพจากลูกศิษย์และการสอนก็จะง่ายขึ้น แต่ว่าต้อวางตัวให้เป็นครูที่แท้...
  • ...การสอนให้นักเรียนมีความรู้ดีนั้นสำคัญมาก แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นอีก คือจะต้องฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักพิจารณานำความรู้นั้นไปใช้ในทางที่ถูกต้อง เหมาะสมแก่งานด้วย...
  • ...จึงคิดดูหลักการของฝรั่งโน้น นั่นคือต้องให้ผู้ที่มีอายุมากกว่าหรือมีความรู้มากกว่า สอนผู้มีอายุน้อยหรือมีความรู้น้อยกว่า จะได้ความรู้มาเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีความรู้มากกว่า...การสอนนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มพูนความรู้ของตนเอง...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
การอ่าน "จับคำ" จากพระบรมราโชวาท ทำให้ผมเห็นว่า ในหลวงทรงเน้นว่า การศึกษาเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน.... ตรงนี้สอดคล้องกับหลักการเรียนรู้สากลที่ได้รับการยอมรับทีหลังว่า บุคคลจะได้เรียนรู้ก็ต่อเมื่อได้คิดและทำด้วยตนเองเท่านั้น....


แนวพระราชดำริด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ (๒): สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา

ผม "ตัด" แล้ว "วาง" ไม่ได้ "ตัดต่อ" และไม่ได้ "คิดต่อ" หรือ "เขียนเติม" แต่อย่างใด อีกทั้งยังระวังไม่ให้ผิดความหมายเดิมของพระราชดำริอย่างที่สุด เพื่อให้ท่านมั่นใจในการน้อมนำไปปฏิบัติครับ

แนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ คัดมาเฉพาะให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ครับ

  • ...ผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาทุกๆ คน จึงต้องถือว่า ตัวของท่านมีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองอยู่อย่างเต็มที่ ในอันที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เที่ยงตรง ถูกต้อง สมบูรณ์โดยเต็มกำลัง จะประมาทหรือละเลยมิได้ เพราะถ้าปฏิบัตให้ผิดพลาดบกพร่องไปประการใดๆ ผลรายอาจเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมและประเทศชาติได้มากมาย...
  • ...คนที่จะใช้วิชาได้ดีนั้น ประการแรก จะต้องรู้วิชานั้นอย่างแจ่มแจ้งจัดเจนและทั่วถึง ทั้งในหลักใหญ่ในรายละเอียด ทั้งในส่วนที่เป็นเหตุ ทั้งในส่วนที่เป็นผล ประการที่สอง การงานที่ทำจะต้องเป็นงานสร้างสรรค์ ไม่ใช่งานที่บ่อนเบียนทำลายไร้ประโยชน์ ประการที่สาม ผู้ที่ทำจะต้องรู้ลักษณะงานโดยถ่องแท้ โดยเฉพาะในจุดประสงค์ขอบเขต และวิธีปฏิบัติ ประการที่สี่ จะต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ และมีความพรักพร้อม ที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ขึ้นมา...
หน้าที่ของผู้จัดและผู้ให้การศึกษา
  • ...กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือการ "ให้คนได้เรียนดี"...ข้อแรกจะต้องสอนให้มีวิชาการที่ดี ที่ถูกต้องแน่นแฟ้น ให้มีความสามารถและมีหลักการในการปฏิบัติ ข้อสอง ต้องฝึกหัดอบรมจิตใจและความประพฤติปฏิบัติ ให้รู้เหตุผลและความรับผิดชอบชั่วดี เพื่อไม่ให้นำความรู้ไปใช้ในการเบียดเบียนกัน ข้อสาม ต้องมีกำลังและสุขภาพสมบูรณ์ทั้งทางกายทางใจ...
  • ...โรงเรียนนั้นมีหน้าที่สำหรับอุปการะและอุ้มชูผู้ที่ยังเยาว์วัย ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ...
  • ...เรื่องโรงเรียนนี้ก็ต้องให้ข้อสังเกตว่า เครื่องอุปกรณ์ทั้งหลาย จะเป็นอาคารเรียนก็ตาม หรืออุปกรณ์การศึกษา ตลอดจนครูอาจารย์เจ้าหน้าที่ก็ตาม มีมากหลายครบถ้วน การที่มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนนี้ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่ศึกษาจะได้รับผลดี...การที่มีอุปกรณ์มากอาจทำให้ทั้งนักเรียนทั้งครู ขี้เกียจก็ได้ แต่ว่าถ้าทั้งอาจารย์ ครู และนักเรียนตั้งใจจริงๆ...อุปกรณ์ต่างๆ เป็นเครื่องช่วยทั้งนั้น แต่บางทีอุปกรณ์ทำให้ไม่มีความคิด จึง่ขอร้องให้ทั้งครูทั้งนักเรียนมีความคิด มีความเข้าใจว่า คนเราไม่ใช่คนอื่นสร้างให้ แต่คนต้องสร้างตนเอง...
  • ...การศึกษานั้นเป็นเรื่องของทุกคน และไม่ใช่ว่าเฉพาะในระยะหนึ่ง เป็นหน้าที่โดยตรงในระยะเดียว ไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ต้องศึกษา เติบโตขึ้นมาก็ต้องศึกษา จนกระทั่งถึงขั้นที่เรียกว่าอุดมศึกษา อย่างที่ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ หมายความว่า การศึกษาที่ครบถ้วน ที่อุดมที่บริบูรณ์ แต่ต่อไปเมื่อออกไปทำหน้าที่การงานก็ต้องศึกษาต่อไปเหมือนกัน มิฉะนั้นคนเราก็อยู่ไม่ได้ แม้จบปริญญาเอกแล้วก็ต้องศึกษาต่อไปตลอด หมายความว่าการศึกษา ไม่มีที่สิ้นสุด...
  • ...เพื่อให้การศึกษาดำเนินไปด้วยดี จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ต้องมีโรงเรียนและเครื่องอุปกรณ์ที่เหมาะสม ต้องมีครูที่จะสอนจะถ่ายทอดวิชา และจะต้องมีนักเรียน นักเรียนนั้นก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเป็นนักเรียนที่ตั้งใจที่จะเรียน สมชื่อว่าเป็นนักเรียน ก็หวังได้ว่ากิจการของโรงเรียนจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...
  • ...สำหรับครูนั้นต้องทำตัวให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นที่เชื่อใจของนักเรียนเหมือนกัน ข้อแรกต้องฝึกฝนตนเองให้แตกฉานและแม่นยำชำนาญ ทั้งในวิชาความรู้และวิธีการสอน เพื่อสามารถสอนวิชาทั้งปวงได้โดยถูกต้อง กระจ่างชัด และครบถ้วนสมบูรณ์ อีกข้อหนึ่งคือต้องทำตัวให้ดี คือต้องมีและต้องแสดงความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพ ความเข้มแข็งและอดทน ให้ปรากฎชัดเจนเคยชินเป็นปรกติวิสัย...
  • ...เพราะถ้าเป็นครู ลูกศิษย์จะต้องนับถือได้ ต้องวางตัวให้เหมาะสมที่จะเป็นครู ไม่ใช่วางตัวอย่างหนึ่ง แล้วมาสอนอีกอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์เขาเอาอย่าง...
  • ...นักการศึกษาเคยคิดกันว่า การให้ครูเป็นผู้สั่งสอนและแนะนำให้ศิษย์ทำตามนั้นอาจทำลายความคิดริเริ่ม ทำลายอิสรภาพของเด็ก และทำให้เด็กเป็นตัวของตัวเองน้อยลง เห็นกันว่าควรจะให้เด็กได้อิสรภาพในการคิดว่าการทำและเรียนรู้ด้วยตนเองมากๆ ข้อนี้ทำให้ผู้ที่เป็นครูจำนวนไม่น้อยอึดอัดใจ เพราะขัดกับใจจริงของตนเองที่รู้สึกอยู่ว่า เป็นครูแล้วต้องสอน บางคนก็เกิดความลังเลในใจ ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างไรถูก ที่จริงคำว่าครูกับศิษย์นี้มีความหมายตายตัวอยู่แล้ว คือครูผู้สอน เป็นผู้แนะนำศิษย์ไปสู่ความรู้ ความดี ความฉลาดทั้งปวง ศิษย์ก็เป็นผู้เรียนรู้จากครู มีหน้าที่ที่จะต้องเรียนและเคารพเชื่อฟังครู ซึ่งเป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่ตัว จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ธรรมดาเด็กจะต้องเรียนรู้ เมื่อครูไม่สอน ก็จะต้องเรียนรู้จากแหล่งอื่นและจากผู้อื่น ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่ผู้ที่สมควรเป็นครูเลย ทำให้เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความรู้ที่ชอบที่ประกอบด้วยเหตุผลได้ง่ายๆ ผลร้ายจึงเกิดตามมาเป็นัญหาที่ทำให้ต้องขบคิดอย่างสหนักกันอยู่ในเวลานี้ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องทำตัวให้เป็นครูที่แท้และต้องทำหน้าที่ครูให้จริง พยายามตั้งใจ พากเพียรสั่งสอนอบรมความรู้ ความคิด ความดีแก่ผู้เป็นศิษย์ให้เต็มกำลัง เพื่อช่วยให้ศิษย์ของท่านมีความรู้ ความคิด ความประพฤติที่ถูกต้องเป็นธรรมและเป็นทางสร้างสรรค์ ปัญหายุ่งยากทางการศึกษาและทางสังคมจักได้เบาบางลง...
  • ...ผู้เป็นครูอย่างแท้จริง นับว่าเป็นบุคคลพิเศษ ผู้ต้องแผ่เมตตาและเสียสละเพื่อความสำเร็จความก้าวหน้า และความสุขความเจริญของผู้อื่นอยู่ตลอดชีวิต...
  • ...ครูที่แท้นั้นเป็นผู้ที่ทำแต่ความดี คือต้องหมั่นขยันและอุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่น อัดกลั้นและอดทน ต้องรักษาวินัย สำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติของตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดีงาม ต้องปลีกตัวปลีกใจจากความสะดวกสบาย และความสนุกรื่นเริงที่ไม่สมควรแก่เกียรติภูมิของตน ต้องตั้งใจให้มั่นคง ต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจ ต้องเมตตาหวังดี ต้องวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ ต้องอบรมปัญญาให้เพิ่มพูนสมบูรณ์ขึ้น ทั้งด้านวิทยาการและความฉลาดรอบรู้ในเหตุผล รู้จักเหตุผล... 
  • ...ถ้าขาดครูแล้ว ความก้าวหน้าก็จะไม่มี จะมีแต่ความถอยหลัง เพราะว่าอนุชนรุ่นหลังจะมีความรู้น้อยในทางวิชาการและในทางความรู้ที่จะดำรงตนเป็นมนุษย์ จะมีแต่ความรู้และมีความประพฤติตามสันดานของผู้ที่เป็นพาล ดังนั้นหน้าที่ของครูก็คือหน้าที่ที่จะรักษาสิ่งที่ดีที่งาม...
ครู
  • ...งานของครูนั้นเป็นงานพิเศษ ที่จะหวังผลตอบแทนเหมือนงานอื่นๆ ได้โดยยาก ผลตอบแทนที่สำคัญย่อมเป็นผลทางใจ ได้แก่ ความปิติชุ่มชื่นใจ ที่ได้ฝึกสอนคนให้ได้ดีมีความเจริญ...
  • ...ความก้าวหน้านี้แบ่งเป็นความก้าวหน้าทางวัตถุและความก้าวหน้าทางด้านจิตใจ ย่อมทราบดีว่าการที่ครูจะหวังความก้าวหน้าทางวัตถุนั้นยากอยู่ ...แต่ความก้าวหน้าทางจิตใจจะมีมาก เพราะว่าครูที่มีจิตใจเป็นครูที่แท้ย่อมเป็นที่นับถือของลูกศิษย์ และครูคนหนึ่งๆ ก็มีลูกศิษย์เป็นจำนวนสิบ จำนวนร้อย จำนวนพัน การที่ได้สร้างให้ลูกศิษย์จำนวนมากนี้ให้มีความรู้และเป็นมนุษย์ที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อโลก...
  • ...ความเป็นครู หมายถึง การมีความรู้ดีประกอบด้วยหลักวิชาที่ถูกต้องแน่นแฟ้นและแจ่มแจ้งแก่ใจ รวมทั้งคุณความดีและความเอื้ออารี ปรารถนาที่จะถ่ายทอดเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้มีความรู้ความเข้าใจที่ดีด้วย ความแจ่มแจ้งแน่ชัด ย่อมทำให้สามารถส่องแสดงความรู้ออกมาให้เข้าใจตามได้โดยง่าย ทั้งในการปฏิบัติงานย่อมทำให้ผู้ร่วมงานได้เข้าใจโดยแจ่มชัด...
  • ...ความเป็นครูนั้นประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่มีคุณค่าหลายอย่าง อย่างหนึ่งได้แก่ ปัญญา...อย่างหนึ่งได้แก่ ความดี อีกอย่างหนึ่งได้แก่ ความสามารถ ที่จะถ่ายทอดความรู้ดีของตนเองไปยังผู้อื่น...
  • ...ถ้าพูดถึงว่าครูต้องสอน ครูก็ไม่ใช่เรียนจากลูกศิษย์ ลูกศิษย์ต้องเรียน ไม่ใช่สอนครู ข้อนี้ขอขยายความ และขอให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เด็กหรือผู้ที่เป็นลูกศิษย์จะต้องราบคาบกับครู หรือครูจะต้องกดหัวลูกศิษย์ไม่ให้มีความคิดริ่เริ่มใดๆ เลย แต่ว่าหมายถึงว่า ครูที่ดีมีความรู้อะไร ต้องแผ่ไปหมด ความรู้ทั้งวิชาการและธรรมะ คือความเมตตา ต้องแผ่ให้ลูกศิษย์หมด ไม่ใช่มานั่งดูเขาสาธิตว่าลูกศิษย์เป็นยังไง แล้วก็มาถามเขา...
  • ...ผู้เป็นครูนั้นจะต้องมีจิตใจสูง...ใช้คำว่าครูนั้นดูเหมือนต่ำกว่าคำว่าอาจารย์ อาจารย์นั้นดูท่าทางเป็นผู้ที่มีความรู้สูงกว่า มีฐานะสูงกว่า แต่ความจริงคำว่า ครู นั้น เป็นคำที่สูงยิ่ง เพราะถือเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพบูชาได้...ครูเป็นเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นถ้าผู้ใดเป็นครูแล้วและทำตัวอย่างที่ดี...ก็จะยิ่งเป็นผลดีใหญ่...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า "บริบท" ของไทยคืออะไร เราเคารพครูและบูชาครูอย่างที่สุด เราสอนทั้งวิชาวิทยาการและคุณธรรมเสมอ.... ปัญหาคือครูที่แท้จริงกำลังท้อแท้อยู่หรือไม่ เราจะมีส่วนในการช่วยท่านอย่างไร....

แนวพระราชดำริด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ (๑) : ความสำคัญและวัตถุประสงค์ของการศึกษา

ผมมีความเห็นเป็น "สมมติฐาน" ว่า การปฏิรูปการศึกษาของไทยไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนกับประเทศที่เรามองเขาเป็นต้นแบบ เป็นเพราะเราไม่ปรับให้เข้ากับบริบทของเราเอง... แม้ตอนนี้ทุกคนจะรู้ว่าใช่แบบไม่ต้องพิสูจน์ แต่คำถามคือ อะไรคือบริบทของไทยเราที่ไม่ได้เอามาพิจารณา จึงได้เริ่มศึกษาจากแนวพระราชดำริของกษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (บันทึกแรกที่นี่)


เนื่องจากเป็นแนวพระราชดำริ จึงไม่ขออ่านเอาความหรือตีความ แต่อ่านแล้วคัดประโยคสำคัญมารวมกันไว้เฉพาะด้านการศึกษา เริ่มจากรัชกาลที่ ๙ ในหลวงของเรา

 ผม "ตัด" แล้ว "วาง" ไม่ได้ "ตัดต่อ" และไม่ได้ "คิดต่อ" หรือ "เขียนเติม" แต่อย่างใด อีกทั้งยังระวังไม่ให้ผิดความหมายเดิมของพระราชดำริอย่างที่สุด เพื่อให้ท่านมั่นใจในการน้อมนำไปปฏิบัติครับ

ความสำคัญของการศึกษา
  • ...เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคนและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล...
  • งานด้านการศึกษาเป็นงานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ...
  • ...การศึกษาจึงเป็นกลไกสำคัญและเป็นกลไกที่ต้องมีไว้สำหรับส่วนรวม...
  • ...การศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิต เพราะเป็นรากฐานสำหรับช่วยให้บุคคลสามารถก้าวไปถึงความสำเร็จ ความสุข ความเจริญทั้งปวง ทั้งของตนเองและของส่วนรวม...
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
  • ...คือการทำให้บุคคลมีปัจจัยหรือมีอุปกรณ์สำหรับชีวิตอย่างครบถ้วนเพียงพอ ทั้งในส่วนความรู้ ความคิดวินิจฉัย ส่วนจิตใจและคุณธรรมความประพฤติ ส่วนความขยันอดทนและความสามารถในอันที่จะนำความรู้ความคิดไปใช้ในการปฏิบัติงานด้วยตนเองให้ได้จริงๆ เพื่อความสามรถในการดำรงชีพอยู่ได้ด้วยความสุขความเจริญมั่นคง และสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและสังคมได้ตามสมควรแก่ฐานะด้วย
  • ...เมื่อสามารถทำกิจวัตรของตัวได้แล้ว....ต้องสอนให้รู้จักทำงานต่างๆ ให้รู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆ ตามต้องการให้มากขึ้น เพื่อทำให้ชีวิตมีความสะดวกมีความสบาย...อ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือได้... มีความสามารถที่จะแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวมากขึ้น...สอนให้รู้จักเรียนรู้วิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น
  • ...ขั้นต่อไปเป็นเรื่องของวิชาการ หมายถึงว่า...ต้องมีวิชาความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงชีพของตัว..
  • ...พร้อมทั้งการฝึกฝนให้รู้จักใช้เหตุผลสติปัญญา และหาหลักการของชีวิต เพื่อให้สร้างสรรค์ความเจริญทั้งทางกายแลทางความคิด อันนี้เป็นขั้นสุดท้ายหรือขั้นสูงสุดของการศึกษา...ต้องมีความรู้ในทางการใช้ความคิดใช้ปัญญาใช้พิจารณาอย่างรอบคอบด้วย..แม้ดูคล้ายๆ เป็นความรู้ที่ใช่สำหรับมาประกอบอาชีพแท้ๆ แต่ทุกคนต้องการที่จะใช้สมองที่จะหาความเจริญในทางจิตใจ เพื่อที่จะทำอะไรๆ ที่เป็นที่พอใจ เป็นที่อิ่มใจได้...
  • ...กล่าวโดยวัตถุประสงค์ที่แท้จริง คือการสร้างสรรค์ความรู้ความคิดพร้อมทั้งคุณสมบัติและจิตใจที่สมบูรณ์ ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล เพื่อช่วยให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างราบรื่น ทั้งสามารถบำเพ็ญประโยชน์สุขเพื่อตน เพื่อส่วนรวมได้ตามควรแก่อัตภาพ...
  • ...การศึกษานี้มีไว้สำหรับสร้างคนที่มีอายุน้อย ก็ต้องเรียนและสร้างตนเองขึ้นให้เป็นผู้ใหญ่ จริงๆ เป็นผู้ใหญ่นี้หมายความว่า มีความรู้ในวิชาการและมีความรู้ในการวางตัวให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ คนที่มีความรู้วิทยาการมากและมีความรู้ศีลธรรมความประพฤติ วางตัวได้ดี ก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ได้เร็ว...
ความหมายของการศึกษา

  •  ...การให้การศึกษา คือการแนะนำและส่งเสริมบุคคลให้มีความเจริญงอกงามในการเรียนรู้คิดอ่าน และการกระทำตามอัตภาพของแต่ละคน...
  • ...ความรู้ที่สะสมเอาไว้ในตัวเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นเสมือนประทีปสำหรับนำทางเราไปในการปฏิบัติตนในชีวิต...เป็นเครื่องนำทางไปสู่ความเจริญ...เท่ากับเป็นสิ่งที่จะเลี้ยงตัวเลี้ยงกายเรา  ความรู้ในทางการประพฤติที่ดี จิตใจที่เข้มแข็ง...มีความซื่อสัตย์สุจริต...มีความขยันหมั่นเพียร..มีความตั้งใจที่แน่วแน่นั้น ไม่มีทางที่จะล่มจม...เพราะจะเห็นแจ้งที่ควรทำ ไม่ถลำไปในทางที่ไม่ถูกต้อง อันนี้ก็เป็นความหมายของการศึกษา...
  • ...การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของบุคคล...
การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
  • ...วิชานั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ ตามภาวะและความจำเป็นของโลก ก็ต้องแตกสาขากว้างขวางมากมายเป็นธรรมดา จนบางทีทำให้แลไม่เห็นว่า สาขาวิชาต่างๆ มาจากต้นตออันเดียวกัน และลืมไปว่าวิชาแต่ละสาขานั้น มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันอยู่ เมื่อเป็นดังนี้ ที่สุดวิชาก็ต้องขาดจากกัน คนที่เรียนและใช้วิชานั้นๆ ก็ไม่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ไม่ปรองดองกัน ยังผลให้การงานติดขัดบกพร่องและเสียประโยชน์ที่พึงได้ด้วยประการต่างๆ ดังนั้นผู้ฉลาดจึงควรต้องศึกษาให้เห็นจริง และให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าวิชาทั้งหลายเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นส่วนประกอบของกันและกัน เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันอย่าสงแน่นแฟ้น แล้วดึงเอาวิชาการบุคคล กับทั้งกิจการที่เกี่ยวข้องมารวมกัน เพื่อผลและประโยชน์อันเลิศร่วมกันของเรา...
  • ...การศึกษาวิทยาการทุกอย่าง ยิ่งศึกษาค้นคว้ามากขึ้นเท่าใด ก็ยั่งจำเป็นต้องกระทำให้ละเอียดเฉพาะลงไปเท่านั้น และผู้ที่ได้ผ่านการศึกษาระดับนี้มาแล้ว ย่อมจะถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา จะไม่ก้าวก่ายกับวิชาที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของตน แต่ในการใช้วิชา ในการปฏิบัติงานนั้น แม้เพียงงานเล็กน้อยอย่างหนึ่งอย่างใดแต่เพียงอย่างเดียว ก็จำเป็นต้องอาศัยหลักวิชาหลายๆ สาขานำมาเป็นเครื่องช่วยปฏิบัติ จึงจะสำเร็จผลที่ดีได้...
ความรู้ที่พึงประสงค์
  • ...วิชาความรู้อันพึงประสงค์นั้น ได้แก่ วิชาและความรู้ที่ถูกต้อง ชัดเจน แม่ยำ ชำนาญ นำไปใช้ในการเป็นประโยชน์ได้พอเหมาะสมควร ทันต่อเหตุการณ์ อย่างมีประสิทธิภาพ..
  • ...เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว การเรียนความรู้ แม้มากมายเพียงใด บางที ก็ไม่ช่วยให้ฉลาดหรือเจริญได้เท่าไรนัก ถ้าหากเรียนไม่ถูกถ้วน ไม่รู้จริงแท้ การศึกษาหาความรู้สำคัญตรงที่ว่า ต้องศึกษาเพื่อให้เกิด "ความฉลาดรู้" คือรู้แล้ว สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นโทษ...
  • ...ผลอันพึงประสงค์ของการศึกษา กล่าวสั้นแต่โดยเนื้อแท้มีสองสถาน สถานหนึ่งคือความรู้แจ้งจริงในวิทยาการ...อีกสถานหนึ่งได้แก่ ความคิด จิตใจ ที่ฝึกฝนกล่อมเกลาแล้วอย่างถูกต้องให้คล่องแคล่วและสุจริตยุติธรรม...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
การอ่านจับคำของผมคราวนี้ ทำให้ผม เข้าใจชัดเจนว่า ระบบ "เกรดนิยม" ที่เป็นอยู่ของการศึกษาไทยนี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากไม่ฟังและน้อมนำพระราชดำริของในหลวงมาใช้อย่างจริงจังนั่นเอง... 

แนวพระราชดำริด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ (๔) : หลักการเรียนรู้

 ผม "ตัด" แล้ว "วาง" ไม่ได้ "ตัดต่อ" และไม่ได้ "คิดต่อ" หรือ "เขียนเติม" แต่อย่างใด อีกทั้งยังระวังไม่ให้ผิดความหมายเดิมของพระราชดำริอย่างที่สุด เพื่อให้ท่านมั่นใจในการน้อมนำไปปฏิบัติครับ เกี่ยวกับ "หลักการเรียนรู้" ตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ดังนี้

  • ...การเรียนรู้ลักษณะแรก คือ การเรียนรู้หรือรับรู้ความรู้ของผู้อื่น ซึ่งอาจเป็นการฟัง การอ่าน การสังเกต ดู จำ อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น การเรียนรู้อย่างนี้จัดเป็นการเรียนรู้ขั้นต้น เพราะยังต้องรู้ตามเขา โดยยังมิได้ดิจารณาพิสูจน์สอบสวน อาจถูก ผิด ดี ชี่ว มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ดีบุคคลก็จำเป็นต้องเรียนรู้โดยลักษณะนี้ด้วย...
  • ...เมื่อต้องการทราบเรื่องใดจริงๆ จึงนำมาศึกษาพิจารณาและวินิจฉัยให้เห็นเหตุเห็นผลอีกชั้นหนึ่ง การเรียนรู้ด้วยการพิจารณาวินิจฉัยแล้วนี้ จัดเป็นการเรียนรู้ลักษณะที่สอง ซึ่งสูงขึ้นมากกว่าระดับที่รู้ตามผู้อื่น ความรู้ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นความเข้าใจของตนเอง ซึ่งเชื่อมั่นได้ และใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น...
  • ...การนำเอาสิ่งที่รับรู้มาแล้ว หรือที่ทำความเข้าใจแล้วนั้น มากฝึกหัดปฏิบัติด้วยกายด้วยใจให้ประจักษ์ผลขึ้น เกิดเป็นความรู้อันชัดแจ้งแน่นอนตรึงตราอยู่ในใจพร้อมกับความสามารถชัดเจน ที่จำนำไปทำการอย่างมีประสิทธิภาพได้ทุกเมื่อ การเรียนรู้ในลักษณะนี้จัดเป็นขั้นสูงสุดที่จะพึงศึกษาฝึกฝนได้...
  • ...การศึกษาที่ปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน จะส่งเสริมให้ภูมิรู้และความสามารถสูงขึ้น ให้ความคิดความอ่านกว้างขวาง ลึกซึ้ง ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ไม่จนปัญญา ทั้งสามารถเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นได้ชัดเจน ทำให้ร่วมงานประสานประโยชน์ได้กับทุกคนทุกฝ่ายได้อย่างราบรื่น...
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

ผมรู้สึกภูมิใจและทึ่งในสายพระเนตรที่ยาวไกล คลอบคลุม สอดคล้อง และทันสมัยถือเป็นหลักของทฤษฎีการศึกษาสมัยใหม่ทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้จากการปฏิบัติสกัดจากประสบการณ์ ๑ : ภาพรวมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษใหม่ ทำให้สังคมไทยที่ไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่แตก เกิดวิกฤติการเมืองประชาชนมีความเห็นแตกแยกเป็นฝักฝ่ายอย่างชัดเจน คุณธรรมและจริยธรรมของสังคมตกต่ำอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน ปัญหาสำคัญที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงคืออุปนิสัยของคนไทยที่ไม่ "พอเพียง" นั่นเอง

ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของศูนย์พัฒนาวิชการเพื่อการเรียนรู้ (Center of Academic Development for Learning: CADL) คือการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ถานศึกษาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยใช้การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) เป็นเครื่องมือในดำเนินการใน ๓ แนวทางหลัก ได้แก่ ๑) นักสร้างเครือข่าย ๒) เป็นนักขับเคลื่อน และ ๓) นักวิชาการ

ในบทบาทนักสร้างคือค่าย  CADL ทำหน้าที่เป็นทั้ง "คุณเอื้อ" และ "คุณอำนวย" อำนวยให้เกิดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายหนุนเสริมการขับเคลื่อนฯ ขึ้นในพื้นที่ ปัจจุบันสำนักศึกษาทั่วไปมีข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานด้านการศึกษา ๖ หน่วยงานได้แก่ เทศบาลเมืองมหาสารคาม องค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต ๑, ๒, ๓ และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๖ นอกจากนี้ยังมีโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิยามกัมมาจลในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา (ปศพพ.) สู่โรงเรียนในเขตพื้นที่อีสานตอนบนจำนวน ๒๖ โรงเรียน

สำหรับบทบาทนักขับเคลื่อนฯ ทีม CADL เป็น"คุณอำนวย" ที่มีบทบาทในลักษณะวิทยากรกระบวนการ หรือเรียกว่า "กระบวนกร" เป็น "คุณกิจ" ทำหน้าที่ออกแบบกิจกรรมและกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้รู้และเข้าใจ ปศพพ.ด้านการศึกษา สร้างแรงบันดาลใจในการนำไปปฏิบัติกับตนเอง และนำผลสำเร็จที่ภาคภูมิใจไปเผยแพร่ขยายผลสู่ผู้อื่น โดยมุ่งเป้าไปยังโรงเรียนในโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิสยามกัมมาจล และนิสิตในโครงการเด็กดีมีที่เรียนเป็นอันดับแรก


ส่วนบทบาทนักวิชาการ CADL เน้นการรายงานผ่านบันทึการทำงาน การสะท้อนผล และเขียนบทสังเคราะห์ชี้นำแนวทางขับเคลื่อนฯ ผ่านสื่อในสังคมออนไลน์ Facebook กลุ่ม "SEEN อีสาน" และ เว็บไซต์ของมูลนิธิสยามกัมมาจล http://www.scbfoundation.com/ และ http://www.gotoknow.org/blog/porpieng

จากประสบการณ์ขับเคลื่อนฯ ที่ผ่านมา CADL พบว่า มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลัก ปศพพ. ว่าเป็นอันเดียวกันกับ "เกษตรทฤษฎีใหม่" เมื่อไหร่ที่กล่าวถึง "พอเพียง" ต้องมีที่ดิน ๑ แบ่งเป็น ๔ ส่วน ปลูกพืช ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ฯลฯ  ไม่เข้าใจว่าหลัก ปศพพ. เป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติ ที่สามารถน้อมนำมาใช้กับทุกกิจกรรมในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในชีวิตประจำวัน แม้แต่การไหว้ทักทายครูประจำวันหน้าโรงเรียน หากรู้เหตุผลว่าทำไมต้องไหว้ ไหว้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมคือ "พอประมาณ"  จำทำให้นักเรียนมีกริยามารยาทงาม และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย ถือเป็นภูมิคุ้มกันในตนและคนในสังคมด้วย เป็นต้น ความเข้าใจไม่ถูกส่งผลให้การขับเคลื่อนผิดทาง เกิดความเข้าใจว่าการขับเคลื่อน ปศพพ. เป็นหน้าที่ของใครคนใดที่ได้รับมอบหมาย เข้าใจว่าเป็นภาระงานเสริมเพิ่มเติมจากงานหลัก

CADL ดำเนินการทั้ง ๓ บทบาทนี้พร้อมๆ กันอย่างบูรณาการโดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ให้กับนักเรียนและนิสิต ด้วยหวังว่าเยาวชนเหล่านี้ที่น้อมนำหลัก ปศพพ. มาเป็นหลักคิด และหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของตน จะเป็นส่วนหนึ่งของกำลังสำคัญที่จะพัฒนาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นวิกฤตและเจริญรุ่งเรืองต่อไป




วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนะนำเส้นทางการเรียนรู้ สำหรับผู้อยากขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา

ยิ่งผมเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการสืบค้นจากสื่อบนอินเตอร์เน็ต ผมยิ่งรู้สึกว่า บทบาทหน้าที่ๆ ทำอยู่นั้นตกอยู่ในร่อง "อ่าน คิด เขียน" มากเกินไป การปฏิบัติน้อยเกินไป  เกี่ยวกับการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษานั้น ผมพบว่าจากสื่อที่แสดงอยู่บนเว็บนั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ผมจะต้องมาแปลงสื่อเหล่านี้ แล้วนำมาเขียนหนังสือ ตำรา หรือบทความเกี่ยวกับองค์เพราะองค์ความรู้มีอยู่แล้วในอินเตอร์เน็ต จากผู้ใหญ่ใกล้เบื้องพระบาท ทุกท่านล้วนผ่านการปฏิบัต และสกัดออกมาอย่างดียิ่งแล้ว....

ผมขอแนะนำสำหรับผู้มาใหม่ ที่มีใจจงรักภักดีและมีอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนหลัก ปศพพ. สู่เด็กๆ ลูกหลานเรา  ด้วยการเสนอเส้นทางการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้รู้และเข้าใจ และนำไปปฏิบัติกับตนเอง จนเกิดความภาคภูมิใจในผลที่เกิดกับตนเอง แล้วนำออกเผยแพร่แบบระเบิดจากภายในตัวท่านต่อไป โดยใช้ การเรียนรู้ ๙ ขั้นตอนต่อไปนี้

๑.) ฟังให้เข้าใจว่า ในหลวงสอนอะไร ด้วยการดูฟังคลิปนี้ครับ (ฟังสักหลายรอบ) และตั้งคำถามกำตนเองว่าท่านทำอย่างไรที่เรียกว่า "ความพอเพียง"



 ๒.) เรียนรู้หลักการทรงงานผ่านคลิปนี้ครับ แล้วถามตนเองว่า อะไรคือหลักของ ปศพพ.



๓.) ทำไมต้องขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา จากคลิปนี้ครับ




๔.) เรียนรู้เกี่ยวกับเป้าหมายของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา จากคลิปนี้ครับ และถามตนเองว่า อะไรคือ อุปนิสัยพอเพียง




๕.) เรียนรู้หลักการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่นักเรียน จาก รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ครับ





๖.) เรียนรู้วิธีการขับเคลื่อนฯ ผ่านประสบการณ์ของ ดร.ปิยานุช ธรรมปิยา ได้ที่คลิปนี้ครับ






๗.) เรียนวิธีเริ่มเต้นขับเคลื่อนฯ จาก อ.ฉลาด ปาโส ได้ที่คลิปนี้ครับ






๘.) ลงมือปฏิบัติกับตนเองทันทีครับ
๙.) ถอดบทเรียนและนำสิ่งที่คิดว่าดีมาแลกเปลี่่ยนแบ่งปันกัน และสะท้อนกลับรับผลไปทำต่อเป็น "วงเรียน" ต่อๆ ไปครับ

ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ ขั้นตอนที่ ๘.) และ ๙.) ครับ ขั้นตอนจาก ๑.) - ๗.) แม้ไม่เรียนรู้จากคลิปนี้ ผมเชื่อว่าผู้ที่อ่านตามมาถึงบรรทัดนี้ ท่านมีในตัวอยู่แล้วไม่มากก็ไม่น้อยครับ

วิธีตรวจสอบว่าขับเคลื่อนมาถูกทางหรือไม่ ให้สังเกตที่ตนเองจากสิ่งต่อไปนี้ครับ
๑.) ตนเองทำงานได้มากขึ้น (ทำงานหนักขึ้น) โดยมีความสุขและภาคภูมิใจมากขึน (ทำงานหนักขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าหนักหรือทุกข์).... แสดงว่าท่านกลายเป็นคนขยันขึ้น
๒.) ภาคภูมิในความซื่อสัตย์ของตนเองมากขึ้น
๓.) สนุกสนานกับการเรียนรู้ และสร้างปัญญาให้กับตนเอง
๔.) เห็นคุณค่าในการอยู่ร่วมกันในสังคมและระบบนิเวศอย่างสมดุล
๕.) ไม่เห็นด้วยกับทุนนิยมสุดโต่ง มีความเคารพธรรมชาติ
๖.)  มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

โดยสรุปคือ ท่านจะเป็นผู้อุปนิสัยพอเพียงครับ

๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙


“...การให้การศึกษานั้นคือการแนะนำส่งเสริมบุคคล ให้มีความเจริญงอกงามในการเรียนรู้ การคิดอ่าน การกระทำตามอัตภาพของตนๆ โดยมีจุดมุ่งหมายในที่สุดให้สามารถนำเอาคุณสมบัติทั้งปวงที่มีในตัว ออกมาใช้ให้เกื้อกูลตนเกื้อกูลผู้อื่นได้โดยสอดคล้อง ไม่ขัดแย้งเบียดเบียนกัน เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นประเทศได้...

ความตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาท
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา
วันพุธที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๖


วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รูปแบบการสอนของคุณครูสารภี สายหอม บีพี ครูแกนนำขับเคลื่อน ปศพพ.

วันที่ ๒๘-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ มูลนิธิยามกัมมาจลจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนจากครูบีพี (best practice) ในการออกแบบการสอนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.)  และเชิญผมไปฟังแล้วสังเคราะห์รูปแบบการสอนฯ

ช่วงบ่ายอาจารย์ปิยภรณ์ มัณฑะจิตร (พี่เปา) เชิญคุณครูสารภี สายหอม  ครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสำโรงทาบวิทยาคม จ.สุรินทร์ ซึ่งท่านบอกว่าเป็นครูที่ "เล่าเรื่องได้ชัดที่สุด" ออกมาเล่าถึงการออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนการสอนสอดแทรก ปศพพ. เรื่องระบบการหมุนเวียนโลหิต และให้ผมจับประเด็นให้เห็นรูปแบบ (จึงนำการบ้านมาส่งครับ)


รูปอบบการสอนของคุณครูสารภีแบ่งได้เป็น ๔ ขั้นตอน ดังผังด้านลาง ได้แก่

๑. ขั้นสร้างบรรยากาศการเรียนรู้
๒. ขั้นสร้างสถานการณ์ให้เรียนรู้สู่เป้าหมายอย่างสนุก
๓. ขั้นจัดการความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม
๔. ขั้นถอดบทเรียนกระบวนการเรียนรู้ 

ครูสารภีบอกว่า จากประสบการณ์การสอนกว่า ๓๐ ปี วิธีนี้ได้ผลดีมาก ขณะที่ผมฟังและจับรูปแบบฯ ผมรู้สึกได้ชัดว่า จุดเด่นที่สุดของครูสารภีคือ การแทรก ปศพพ. แบบ "ไร้รูปแบบ" จึงยากยิ่งที่จะสังเคราะห์ออกเป็นรูปแบบที่ครอบคลุม "กระบวนการ" ของท่านได้ทั้งหมด หากเปรียบกับรูปแบบการสอนโดยทั่วไปที่มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นนำสู่บทเรียน ขั้นสอน และขั้นสรุป เป็นเหมือน "วงเรียน" วิธีการของครูสารภีจะมี "วงเรียนเล็กในวงเรียนใหญ่" คือ ในขั้นนำสู่บทเรียน จะมีขั้นนำฯ ขั้นสอน และขั้นสรุปฯ ซ้อนอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม ผมสรุปสิ่งที่ฟังได้ดังรูปด้านล่าง และเทปบันทึกเสียงตอนท่านเล่าเรื่องการสอนของท่านอีกครั้งต่อหน้า รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี ในวันถัดมา




หลังจากฟังเรื่องเล่าจบ ผมจับได้ว่าลักษณะสำคัญที่เป็นปัจจัยให้ชั้นเรียนนี้สำเร็จคือ

๑. เด็กเป็นศูนย์กลาง  ครูให้ ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ที่นักการศึกษาเรียกว่า ให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยครูเน้นการตั้งคำถาม สร้างสถานการณ์ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้นั้นๆ
๒. เน้นเรียนให้สนุก สุขที่ได้เรียน ครู ให้ความสนใจกับการสร้างบรรยากาศหรือสถานการณ์ ที่นักเรียนจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน ทั้งแบบเรียนเดี่ยวด้วยตนเอง และเรียนแบบกลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าเด็กสนุกเพราะได้คิดและได้ลงมือทำเอง เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ
๓. เรียนรู้แบบจัดการความรู้ การ นำกระบวนการจัดการความรู้ (แม้ว่าท่านจะไม่ได้ใช้คำนี้) เช่น การร่วมกันตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันก่อนเรียน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดบทเรียน การสะท้อนบทเรียน ฯลฯ มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน
๔. เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ การจัดให้มีขั้นตอนการสะท้อนตนเองเพื่อ "เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ของตนเอง" หรือ "เรียนรู้กระบวนการเรียนรู้"  ประการนี้แสดงชัดว่าครูสารภีเป็นครูยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญถึงขั้น meta-cognetive
๕. สรุปชัดเจนและเชื่อมโยงชีวิตจริง  ขั้น ต้นครูสารภีจะชี้ให้เห็นคุณค่า ความหมาย และความสำคัญของสิ่งที่กำลังพูดถึง และสรุปองค์ความรู้ร่วมนั้นอย่างชัดเจน ถึงขั้นนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง

สิ่งที่สำคัญคือคำถามว่า คือ  เราแทรก ปศพพ. ให้นักเรียนตอนไหน?  ..... 
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำตอบของท่านผู้อ่านครับ


วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หลักการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา ตามรูปแบบ รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี

แรงบันดาลใจในการเขียนบทสังเคราะห์นี้ เกิดขึ้นจากความประทับใจในการให้ความเห็น (comments) ของ รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี ต่อประสบการณ์จัดการเรียนรู้ของครูบีพี (Best Practice) ในโครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) สู่สถานศึกษา ที่จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ในวันที่ ๒๘-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

เป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา ที่ทุกท่านต้องระลึกไว้ในใจและตระหนักซ้ำย้ำทวนกับคนที่เกี่ยวข้องเสมอ คือ การปลูกฝัง "อุปนิสัยพอเพียง" ให้กับนักเรียน โดยต้องกำหนดนิยามความหมายของคำว่า "อุปนิสัยพอเพียง" ไว้ให้รู้ชัดถึง "คุณค่า" ว่ากำลังจะทำอะไรเพื่ออะไร ก่อนจะใช้ประสบการณ์พิจารณาประกอบหลักวิชามาวางแผนการขับเคลื่อนฯ อย่างรอบคอบ "คุ้มค่า" และคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ กล่าวคือให้นำหลัก ปศพพ. มาใช้ในการขับเคลื่อนฯ นั่นเอง

ผมเข้าใจว่า "อุปนิสัยพอเพียง" ที่เป็นเป้าหมายของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา โดยใช้รูปแบบและเครื่องมือของ รศ.ดร. ทิศนา แขมมณี มี ๓ ส่วนคือ "คิดเป็น ทำดี มีความรู้"

๑. คิดเป็น หมายถึง นักเรียนมีนิสัยการคิดบนหลักปรัชญา ปศพพ. คือ คิดพิจาณาด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจทำ คิดถึงผลลัพธ์ผลกระทบหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำทั้งระยะสั้นระยะยาว พร้อมทั้งคิดหาทางป้องกันหรือวิธีดำเนินการไว้ล่วงหน้า
๒. ทำดี หมายถึง การตัดสินใจและกระทำอย่างถูกต้องตามหลักปรัชญา ปศพพ. คือ สามารถ"ทำได้" ถูกต้องคุณธรรมจริยธรรม ถูกต้องตามหลักวิชาการ และพอดีพอประมาณกับตน(ตนเอง) กับคน(ที่เกียวข้อง) กับของ (วัตถุ:ทรัพยากรอื่นๆ) และสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของชุมชนและสังคม
๓. มีความรู้ หมายถึง รู้กว้าง (รอบรู้เรื่องที่เกี่ยวข้อง) รู้ลึก (รู้ความจริง รู้ตามหลักวิชา) รู้ละเอียด และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง

ท่านชี้แนวทางว่า การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษานั้นสามารถทำได้ ๓ ทาง ได้แก่ ๑. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ๒. ใช้ในการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ และ ๓. ใช้ในวิถีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตจริง ดังแสดงรายละเอียดในรูป



การขับเคลื่อนฯ ในแต่ละแนวทางให้ใช้กระบวนการคิดและทำตามลำดับขั้นตอนตามแผนผังด้านล่างนี้


โดยเครื่องมือสำคัญที่ใช้คือ "๗ คำถามเพื่อพัฒนากระบวนการคิดตามหลัก ปศพพ." ดังนี้
๑. จะทำอะไร? / ทำทำไม?
๒. มีความรู้เพียงพอในเรื่องที่จะทำหรือไม่? / ต้องศึกษาหาความรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง?
๓. มีความพร้อมหรือไม่? / มีความเป็นไปได้ที่จะทำหรือไม่?
๔. ทำอย่างไรจึงจะพอดี พอประมาณ? / ทำอย่างไรจะสามารถรองรับปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้?
๕. ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ?
๖. อะไรที่ทำได้ดี? / อะไรที่ยังทำไม่ได้ดี จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร?
๗. เกิดการเรียนรู้อะไรขึ้นบ้างจากการคิด/ทำตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ผมเข้าใจว่า วัตถุประสงค์สำคัญของแต่ละคำถามที่ท่านสร้างขึ้นน่าจะเป็น ดังนี้

  • ทำอะไร? / ทำทำไม?....ถามให้เห็นความสำคัญ เห็นประโยชน์ คุ้มค่า มีคุณค่า
  • มีความรู้เรื่องนั้นหรือไม่? ....ถามให้รู้รอบ (รู้กว้าง รู้ละเอียด รู้ลึก)
  • มีความพร้อมหรือไม่? ...ถามให้สำรวจตนเอง รู้ตนเอง รู้รอบเกี่ยวกับตนเอง
    •  สำรวจแบบ 5M (man, money, materials, management, market) หรือ
    • สำรวจแบบ 4มิติ (สังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ/วัตถุ, สิ่งแวดล้อม) หรือ
    • สำรวจแบบ 3ดู (ดูตน, ดูคน, ดูชุมชนสังคมบริบท)
  • ทำอย่างไรให้พอดี? .... มีคุณธรรมไหม เบียดเบียนตน คนอื่นหรือไม่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือสังคมหรือไม่...
  • ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ .... คุณธรรมอะไร ความรู้อะไร ที่ต้องมีต้องใช้จึงจะทำให้สำเร็จ..
  • อะไรที่ทำได้ดี? ...ประทับใจในผลอะไรที่เกิดขึ้น.. กระบวนการ/วิธีการที่ทำ บุคคลที่เกี่ยวข้อง
  • ได้เรียนรู้อะไร? ...ให้พิจารณาจากความรู้ที่ได้เพิ่มเติม วิธีคิดแบบใดที่เปลี่ยน เจตคติที่เปลี่ยน ตนเองดีขึ้นอย่างไร ชีวิตดีขึ้นหรือไม่ 
จากการสังเคราะห์เอกสารเพาเวอร์จากการบรรยายของท่าน พบว่าท่านยังเสนอลำดับและขั้นตอนการใช้คำถามไว้อย่างละเอียด ดังรูปนี้


ผมสังเกตว่า ครูบีพีที่มูลนิธิฯ เลือกมาร่วมในการถอดบทเรียนในครั้งนี้ หลายท่านนำเครื่องมือเหล่านี้ ไปใช้ และประสบผลสำเร็จจนภาคภูมิใจหลายท่าน ซึ่งทางมูลนิธิฯ คงได้นำมาแบ่งปันบอกต่อโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่ผมประทับใจที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้ คือ "ข้อคิด" สำหรับคนที่จะนำเครื่องมือนี้ไปใช้ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ "แข็ง" หรือ "ติดรูปแบบ"  ดังนี้
  • การตั้งคำถามที่ดีนั้นสำคัญ แต่ที่สิ่งที่สำคัญกว่าคือคำตอบ ครูควรพิจารณาว่าเหตุผลของนักเรียนนั้นถูกต้องหรือไม่ ถามต่อว่าถูกต้องตามหลักอะไร เช่น หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักคุณธรรม ฯลฯ แล้วพิจารณาว่าจะส่งเสริมหรือแนะนำอย่างไร สรุปคือ การสนทนา ถาม-ตอบ เพื่อฝึกทักษะการคิดตามหลัก ปศพพ. นั่นเอง....  ผมเข้าใจว่า การแทรกหลักปรัชญาฯ ในลักษณะนี้ว่า "การแทรกทีละส่วน"
  • การออกแบบการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทำโครงงานนั้น เด็กจะได้ทำงาน เมื่อได้ทำงานแสดงว่าเด็กจะได้ทำและได้คิด ทุกครั้งที่เด็กได้ทำหรือได้คิด เป็นโอกาสที่จะได้ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นการทำโครงงานจึงสามารถสอดแทรกหลักปรัชญาฯ ได้อย่างเป็นกระบวนการ หรืออาจเรียก การแทรกหลักปรัชญาฯ ในลักษณะนี้ว่า "การแทรกอย่างบูรณาการ"
  • ท่านว่า หากมีอุปนิสัยพอเพียง ทุกครั้งที่ทำและคิด จะประกอบด้วย ความรู้ และคุณธรรมเสมอ
  • สิ่งที่นักเรียนควรได้ฝึกฝนให้มากคือ การพิจารณา เหต->ผล หรือ Cause -> Effect การทำแผนผังหรือ Mind Mapping จะทำให้ทราบว่า เหตุเดียวอาจทำให้เกิดผลหลายอย่าง และผลบางอย่างจะทำให้เกิดเหตุอีกหลายอย่าง ประสานเชื่อมโยง ซับซ้อน 

ฤทธิไกร ไชยงาม
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ปรับปรุงจากบันทึกเดิมที่

http://www.gotoknow.org/posts/549827
http://www.gotoknow.org/posts/549912
http://www.gotoknow.org/posts/550001

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา: อีสานตอนบน_50 : ตรวจเยี่ยมประเมินความพร้อม โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา อบจ.ชัยภูมิ

วันที่ 18 กันยายน 2556 ทีมขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานบน "ขน" ทีมงานไปโรงเรียนบ้านเป้าวิทยา ต.บ้านเป้า อ.เกษรสมบูรณ์ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรวจเยี่ยมเพื่อประเมินความพร้อมเพื่อรับการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ร.ร.ศรร.ปศพพ.)

โดยมีอาจารย์ศศินี ลิ้มพงษ์ และอาจารย์สุจินดา งามวุฒิพร ผู้จัดการโครงการฯ จากมูลนิธิสยามกัมมาจล และทีม ร.ร.ศรร.ปศพพ. พี่เลี้ยง โรงเรียนกัลยาณวัตร จ.ขอนแก่น ร่วมเป็นทีมประเมิน

ขอแนะนำสำหรับผู้สนใจ ข้อความเห็นและข้อเสนอแนะโดยละเอียดต่อการขับเคลื่อนของโรงเรียนบ้านเป้า ใหติดต่อ อาจารย์ฤทธิชัย อาจารย์แกนนำขับเคลื่อนโดยตรง Facebook ท่านอยู่ที่นี่ครับ  ต่อไปนี้เป็นข้อความเห็นของกระผมเอง ในฐานะผู้ประสานงานจากมหาวิทยาลัย

ท่านสามารถอ่านข้อความเห็นเมื่อครั้งตรวจเยี่ยมครั้งที่แล้วที่นี่ครับ 

จุดเด่นที่ต้องชื่นชม 

  • ความสะอาดเรียบร้อยของอาคารสถานที่ ห้องเรียน และบริเวณโรงเรียน (แม้จะบอกก่อนล่วงหน้า และต่อให้มีการเตรียมการไว้ แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะสอาดขนาดนั้นครับ) เมื่อซักถามถอดบทเรียน พบว่าปัจจัยของความสำเร็จ มีดังนี้ครับ 
    • นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการดูแลทำความสะอาด โดยมีการจัดแบ่งบริเวณให้แต่ละชั้นเรียนรับผิดชอบอย่างชัดเจน 
    • ใช้เวลาตอนเลิกเรียนตอนบ่าย (ก่อนเดินทางกลับบ้าน) ช่วยกันทำความสะอาด ทำให้เป็นไปอย่างพร้อมเพียงกัน ไม่มีมาช้ามาสายที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำน้อยทำมาก
    • มีกระบวนการตรวจสอบจากทั้งกรรมการนักเรียน และคณะครูที่รับผิดชอบโครงการ 5ส. ของโรงเรียน...
    • ไม่ประนีประนอมกับความไม่เรียบร้อย.... มีมาตรการให้นักเรียนที่ทำไม่เรียบร้อย มาซ่อมเสริมเพิ่มเติมอีกในตอนเช้า...  (ความจริงทราบว่า ตอนเช้าก็มีการทำความสะอาดอีกครั้งทุกบริเวณ)
    • ฯลฯ  (แม้จะเป็นข้อประทับใจเดิมที่ผมเคยเขียนไว้ แต่ก็อยากให้รู้ว่านี่เป็นวิธีที่ได้ผล เผื่อว่าจะมีคนอ่านนำไปปฏิบัติบ้างครับ)
  • ความมีระเบียบวินัยของนักเรียน อันนี้ก็เขียนไว้ตั้งแต่ครั้งที่แล้วเหมือนกันครับ ยังรักษาความดีไว้ได้ดีครับ 
  • มีการนำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาใช้กันอย่างจริงจังแล้ว แม้จะเห็นเริ่มเฉพาะครูแกนนำไม่หลายคนนัก แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความตระหนักในการเปิดโอกาสให้นักเรียน "ฝึกคิด" "ฝึกทำ" และ "ทำงานเป็นทีม"  อ่านข้อความเห็นเรื่อง "ครูฝึกกก" ที่นี่ครับ 

 
ข้อความเห็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ของครูและโรงเรียน
  • แหล่งเรียนรู้แรกคือห้องสมุดของโรงเรียน สะอาด เรียบร้อยมาก สิ่งที่โดดเด่นคือการจัดหนังสือ สื่อความรู้เกี่ยวกับเรื่อง "พอเพียง" เป็นหมวดหมู่ชัดเจน และมีจำนวนมาก... หากมีการกระบวนการส่งเสริมการอ่าน "หลักการทรงงาน" ต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะนักเรียนแกนนำทุกคน แล้วนำมาตีความ ถกถอดสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนั้นๆ ....จากการสอบถาม ท่านอาจารย์ที่รับผิดชอบสะท้อนว่า อยากให้เด็กๆ มาอ่านมากขึ้น.... มีหลากหลายวิธีที่แนะนำครับ เช่น 
    • กำหนดให้เป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติม สำหรับรายวิชาสังคมหรือภาษาไทย 
    • จัดให้มีการโต้วาที "หลักการทรงงาน" และ "ปศพพ." ใน "วง" นักเรียนแกนนำ 
    • จัดให้มีการยืมหนังสือในหมวดดังกล่าวได้ง่าย สะดวก และกำหนดให้มีชั่วโมงอ่านหนังสือให้ชัดเจน 
    • ฯลฯ 


  • ผลงานจากฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์โครงงานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น...เป็นโครงงานประดิษฐ์ ที่พยามยามนำ "คณิต" ไปใช้อธิบายว่า ลำดับลายของผ้าไทย กระโด้งไม้ไผ่ กระติ๊บข้าวเหนียว ประเป๋าถือ หรือเครื่องจักสาน สามารถที่จะอ่านผ่านสมการคณิตศาสตร์ได้ โดยใช้ความรู้ "คณิต" เรื่อง การแปลงสลับเลขฐาน 2 ฐาน 3 ไปเป็นฐานสิบ... จากการฟังการนำเสนอ เข้าใจขั้นตอนดังนี้ครับ
    • สังเกตรูปลักษณะลาย ว่ามีกี่สี หากมี 2 สี  จะอธิบายด้วยเลขฐาน 2 หากมี 3 สี จะอธิบายด้วยเลขฐาน 3 เป็นต้น 
    • นำกระดาษมาตัดเป็นเหมือน "ตอกไม้ไผ่" นำมาจักสานเลียนแบบ สมมติมี 2 สี จะแทนที่ด้วยเลขฐาน 2 คือ เลข 0 กับ เลข 1 แทนการจัดสานให้อยู่ด้านล่างและบนตามลำดับ 
    • เมื่อทำตามลายเสร็จ จะได้เลขฐาน 2 มาชุดใหญ่ แปลงให้เป็นฐาน 10.... (เข้าใจว่า น่าจะฝึกการแปลงเพื่อใช้ "คณิต" คิดเฉยๆ ...หากผิดอธิบายด้วยครับ)
    • จากนั้นทดลองออกแบบลายต่างๆ ด้วยตนเอง ด้วยการจักสานงาน "ตอกกระดาษ" เมื่อได้แบบแล้วก็ฝึกแปลงเลขฐาน... และนำ "ต้นแบบ" ไปสื่อสารให้ชาวบ้านทดลองทำตาม  จนได้ลวดลายต่างๆ ตามรูป 
    • เมื่อเป็นแบบที่เข้าใจนี้ แสดงว่า โครงงานนี้ไม่ได้นำคณิตศาสตร์ไปช่วยออกแบบโดยตรง  แต่เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนสนใจภูมิปัญญาและหัตถกรรมพื้นบ้าน ผ่านการเรียนรูู้คณิตศาสตร์เรื่องการแปลงเลขฐาน ....  
    • ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำจากผมครับ..
      • แนะนำให้นักเรียนสืบค้นหา ความเชื่อมโยงระหว่างสมการคณิตศาสตร์กับลายต่างๆ ในธรรมชาติจริงๆ  .... ฝากให้เขาไปศึกษาเรื่อง "Chaos equation"
      • แนะนำให้หาความเชื่อมโยงระหว่างสมการคณิตศาสตร์กับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์  ... ทำคนอินเดียถึงเก่งเรื่อง Softwares ที่สุด เพราะพวกเขาเก่งคณิตศาสตร์ที่สุดนั่นเอง  ใครเก่งคณิตจะคิดเขียนโปรแกรมคอมเก่งด้วย ....  
      • แนะนำให้คุณครู ตั้งโจทย์โครงงานเรื่อง "สมการกับธรรมชาติ" .... เพื่อฝึกให้พวกเขาได้เรียนรู้ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นนำเสนอเอง......   (อันนี้แนะนำวันนี้ครับ)
    • สำหรับข้อแนะนำเรื่องการนำเสนอของนักเรียนนั้น ไม่มีครับ ขอชมเชยว่า เตรียมตัวดีมาก... ถ้าเป็นเรื่องที่พวกเขาเริ่มคิดทำและนำเสนอเองล่ะก็ครับ จะเป็นธรรมชาติและเปี่ยมความสุขกว่านี้แน่ครับ 
  • ห้องแห่งความสำเร็จและเกมปลูกฝังการแบ่งปัน.. (Give and Take)..วันนั้น (18 กันยาฯ) ได้มีโอกาสเล่านเกม "พอเพียง" ของมูลนิธิสยามกัมมาจล .... เล่านกันได้หลายคน... เป็นเกมสร้างสถานการณ์เหมือนที่จะเกิดได้ในชีวิตจริงๆ  อาจเล่นเป็นทีมแล้วปรึกษากัน ...(อ่านต่อเรื่องเกมที่นี่
    • สังเกตว่าทุกหน้าต่าง จะมีผลการถอดบทเรียนความสำเร็จลงแผ่นฟริปชาร์ท การได้ฝึกคิดพิจารณาว่า "ทำไมถึงสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ" นั้น เป็น "เคล็ดที่ไม่ลับ" แต่เราไม่ค่อยทำกัน 
    •  ขอชมเชยและชื่นชมครับ นักเรียนทุกคนเล่นเก่งถึงขั้นสอนได้ ... ผมแนะนำว่า นักเรียนจะต้องฝึกออกแบบเกม หรือออกแบบสถานการณ์ที่สอนคล้องกับบริบทของเราเองบ้าง .... 
  • แหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ก็ยังคง "ไม่พลาด" เรื่องน้ำยาล้างจาน ไปที่โรงเรียนไหน หายากยิ่งนักที่จะไม่พบว่า นักเรียนนำมาเสนอเป็นโครงงาน ....  ผมแนะนำว่าให้ลองใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ 8ส. เน้นปัญหาบูรณาการชีวิต ที่ต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้ (ลองอ่านที่นี่ครับ)
  • ส่วนฐานการเรียนรู้เรื่องอาเซียนและมรดกโลกนั้น ผมคิดว่าจะเพิ่งทำกันไม่นาน นักเรียนยังไม่ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้และถอดบทเรียนกันมากนัก เหมือนว่าผู้บริหารจะคิดว่าสามารถเตรียมนักเรียนนำเสนอให้ผ่านได้ ...แต่ไม่ใช่การประเมินเป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ. แน่นอนครับ 
ขอเป็นกำลังใจครับ
โทรศัพท์มาคุยได้ที่ 0815499870  ครับ
อ.ต๋อย

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนรู้ "หลักการทรงงาน" จากทีวี ที่โรงแรมดีพร้อม ชัยภูมิ

วันนี้ได้มาพักที่โรงเรียนดีพร้อม ที่ตัวเมืองจังหวัดชัยภูมิ  ทีวีช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ นำเทปบันทึกการกล่าวบรรยายเรื่อง "หลักการทรงงาน" ของ ศ.นพ.เกษฒ วัฒนชัย มาออนแอร์   ประเด็นต่อไปนี้ผมพยายามพิมพ์ตามทีท่านพูด.... อาจมีประโยชน์บ้างสำหรับผู้อ่านครับ
  • ภูมิสังคม  คือนึกถึงภูมิประเทศ นิสัยใจคอ ของคนที่สถานที่นั้น 
  • ทำให้ง่าย แบบฟอร์มอะไรที่ไม่จำเป็น ก็ฉีกทิ้งบ้าง ขั้นตอนไหนไม่จำเป็นก็ยกเลิกบ้าง เหลือไว้เฉพาะที่่สำคัญ ให้ง่าย มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล  ภาษิตจีนบอกว่า "ชีวิตที่รีบง่าย จึงจะทำเรื่องใหญ่ได้"  พระพุทธเจ้า  ไอน์สไตน์ มหาตมคานที .... ทรงโปรดให้ทำสิ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย....  ผู้บริหารต้องทำสิ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย ....อาจารย์ต้องทำสิ่งที่เข้าใจยาก ให้เข้าใจง่าย.... ครั้งหนึ่งมีสำนักข่าวฝรั่งเศสมาถามท่านว่า ท่านมีหลักการทำงานอย่างไร ...ท่านตอบว่า ...Simplify....อดทนมุ่งมั่น  ไม่ว่าจะมีสุข ทุกข์ ต้องอดทน ไม่ตื่นเต้น หากเกิดปัญหาให้กระโดดเข้าใส่ปัญหา อย่างกลัวปัญหา 
  • กาแฟต้นเดียว.... แต่ก่อนเขาปลูกฝิ่น ท่านทรงแนะนำให้เขามาปลูกกาแฟ แต่กาแฟที่ปลูกตายหมด เหลือเพียงต้นเดียว ท่านทรงให้กำลังใจ เสด็จเข้าไปเยี่ยมแม้จะเหลือกาแฟเพียงต้นเดียว... ปีต่อมา ชาวเขาเหล่านั้นมีรายได้จากการขายกาแฟมากกว่าการปลูกฝิ่นขายเสียอีก ..
  • อ่อนน้อม ถ่อมตน ประหยัด  ... หม่อมหลวงปนัดดา อ่อนน้อมถ่อมตน ... เช่นนาฬิกาไม่จำเป็นต้องราคาแพง เพียงแต่สำคัญว่าบอกเวลา  .... ทรงอ่อนน้อมมาก ทุกครั้งที่เข้าหาพสกนิกรจะทรงอ่อนน้อมตัวลงอย่างถ่อมพระกาย...ทรงประหยัด
  • ใช้ธรรมชาติ ... ประยุกต์ใช้สิื่ง
  • คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม  คิดให้ดีให้ลึกซึ้ง  คำนึงถึงส่วนรวม และต้องช่วยเหลือคนส่วนน้อยที่เสียสละอย่างเด็มที่ 
  • รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย...ทุกครั้งที่ทรงงานกับชาวบ้าน ทรงทำประชาพิจารณ์แบบเรียบง่าย... ทรงอธิบายเหตุผล แล้วทรงถามความสมัครใจ แล้วให้ตกลงกันระหว่างที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ 
  • เข้าใจความต้องการของประชาชน 
  • เราจะช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป ..... โครงการหลวงปี 2512  ท่านทรงมอบหลักทรงงานให้ชาวเขา  4 ข้อคือ เร็วๆ เข้า ลดขั้นตอน ช่วยเขาให้ช่วยตนเอง และปิดทองหลังพระ
  • ระเบิดจากข้างใน   หมายถึง การทำสิ่งใดต้องสร้างฐาน สร้างความเข้มเข็งที่เราพัฒนาก่อน ให้เขาเข้มแข็งก่อน  ไม่ใช่นำเข้า...
  • พึ่งตนเอง  ...พึงตนเองด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ  หมายถึง ..ยืนบนขาตนเอง ไม่ต้องยืมขาคนอื่นมาเดิน
  • เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน..
  • ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง...
  • ปลูกป่าในใจคน .... ทำอะไรต้องเห็นคุณค่า
  • ประหยัด เรียบง่าย ประโยชน์สูงสุด .... Input Process Output
  • รู้ รัก สามัคคี  รอบรู้เรื่องงานของตน  รักงาน  
  • เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ....  เข้าใจ เข้าถึง เป็น two-ways คือเข้าใจและเข้าถึงกันและกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับ เราเข้าใจเขาและทำให้เขาเข้าใจเราด้วย เราเข้าถึงเขาแล้ว ทำอย่างไรให้เขาเข้าถึงเราด้วย เมื่อเข้าใจ เข้าถึงกันแล้วก็จะพัฒนาได้
  • ทำงานด้วยความสุข...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขร่วมกันที่ได้จากการทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
รายละเอียดทั้งหมด สดับรับชมได้ที่นี่ครับ


วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

FBL (Family-based Learning) ณ ชุมชนห้วยค้อมิตรภาพ ๒๐๖ ขอนแก่น

วันที่ 21 กรกฎาคม 2556 ผมมีโอกาสได้นอนพักในห้องเดียวกับ อ.ศุภมิต จาก โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ อ.พล จ.ขอนแก่น  ในขณะที่เราเดินทางมาร่วมกิจกรรมของมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผมตั้งคำถามว่า กับ อ.สนิต เพื่อนร่วมห้องนอนค้างด้วยกัน ว่า ห้วยค้อทำอย่างไรถึงได้เป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ.  แล้วนั่งฟัง จับประเด็นได้ดังนี้ครับ

  • แต่ก่อนโน้น (ประมาณปี 2548) มูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย เข้ามาให้การสนับสนุนในโครงการ "ครอบครัวสาธิตชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" เริ่มที่กลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัวของนักเรียนตั้งแต่ ป.1 - ม.3 ที่มีปัญหา 30 ครอบครัว บางครอบครัวจะมีพี่น้องหลายคน ส่วนใหญ่จะมีปัญหาพ่อแม่หย่าร้าง พ่อแม่เสียชีวิต จึงต้องอาศัยอยู่กับยาย (คิดเป็นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด)  โดยมูลนิธิจะให้พันธุ์ปลาดุกครอบครัวละ 500 ตัว แม่ไก่พร้อมไข่ครอบครัวละ 5 ตัว และพันธุ์ผักต่างๆ และส่วนหนึ่งสนับสนุนบ่อกลางของโรงเรียนเพื่อเป็นอาหารกลางวันของนักเรียน คิดเป็นมูลค่าเพียง 30,000 บาท และแบ่งพื้นที่โรงเรียนออกเป็นส่วนเล็กๆ ให้แต่ครอบครัวดูแล  โครงการนี้ทำให้นักเรียนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีไข่ มีปลา และมีผักกินโดยไม่ต้องซื้อ และมีส่วนเหลือเอาไปขาย ทำให้เกิดอานิสงส์ทำให้ผู้ปกครองพอใจมาก โดยเฉพาะผู้ปกครองส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีที่ทำกิน ต้องทำอาชีพรับจ้าง ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมนี้ ทำให้ชาวบ้านดูแลใส่ใจ จนทำให้เกิดความต่อเนื่อง จนทำให้นักเรียนเกิดทักษะในการดำรงชีวิตแบบ พึ่งตนเอง 
  • ประมาณปี 2549 ผู้อำนวยการขณะนั้น มีความเห็นว่า บ่อปลาและเล้าไก่ที่เรียงรายอยู่ในบริเวณโรงเรียนนั้นทำให้ภูมิทัศน์สวยงาม และให้เหตุผลว่าบ่อน้ำนั้นไม่ปลอดภัยกับนักเรียน (ก่อนหน้านั้นไม่มีเด็กได้รับอันตรายใดๆ) จึงส้่งให้ถมดินเพื่อปลูกไม้ยืนต้น เหลือไว้เพียงบ่อกลางของโรงเรียน ในขณะที่โครงการ "ออยสการ์" ซึ่งได้รับความร่วมมือจากญุี่ปุ่น เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกป่า โดยนำพันธุ์ไม้ยืนต้น เช่น ประดู ยูคาร์ ฯลฯ และสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมร่วมกันระหว่างครอบครัว จึงเกิดโครงการ "แม่ลูกผูกพันร่วมกันทำนา" โดยจัดให้มีกิจกรรมดำนาร่วมกันในตอนบ่ายของวันแม่ หลังจากที่เสร็จพิธีไหว้แม่ในตอนเช้า และจัดกิจกรรม "ดำวันแม่-เกี่ยววันพ่อ" เพื่อร่วมกันเก็บเกี่ยวข้าว นอกจากกิจกรรมนี้จะทำให้โรงเรียนได้ข้าวสำหรับโครงการอาหารกลางวันแล้ว ยังส่งผลให้เด็กๆ เกิดความผูกพันกับครอบครัวมากขึ้น  ถัดจากนาข้าว อ.เบญจมาศ (ครูแกนนำ) ยังพาเด็กปลูกดอกทานตะวัน วัตถุประสงค์สำคัญคือ ฝึกทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็ก นับแต่นั้น การปลูกข้าวและดอกทานตะวันกลายเป็น "ฐานการเรียนรู้" สำคัญของห้วยค้อฯ
  • ต้นปี 2550 ชาวบ้านไม่พอใจที่ ผอ.โรงเรียน กลบบ่อปลาและที่ดินทำกินที่แบ่งให้แต่ละครอบครัว กรรมการสถานศึกษาได้มาคุยกับทางโรงเรียน ได้ข้อสรุปให้ ผอ.ย้ายไปโรงเรียนใหม่ เป็นโอกาสให้ ผอ.สวัสดิ์ มะลาหอม ได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อน ปศพพ. จนต่อมาได้กลายเป็น ร.ร.ศรร. ปศพพ. ในปี 2555
  • ปี 2551 หลังจากเปลี่ยนผู้อำนวยการ โครงการยุวเกษตร ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือ สปก. เข้ามาให้การสนับสนุนพันธุ์ปลาและอาหารเลี้ยงปลา 5,000 ตัว ให้พันธุ์ผักพันธุ์ผัก ส่งเสริมการปลูกผักในโรงเรียน 

 ตอนเช้าของวันที่ 22 ก.ค. ครูเบญจมาศ (ครูต้อย) ถือกระดาษ 6 แผ่น มาให้ผม บอกว่าเป็นการบ้านที่คุยกันเมื่อวาน ที่ผมเองก็พูดผ่านๆ ไม่คิดว่าท่านจะเขียน "เรื่องเล่า" มาให้ผมจริง ....  จึงถือโอกาสนำมาบันทึกไว้ที่นี่ครับ 

....โครงการ "ครอบครัวสาธิต" ชีววิถีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ เกิดขึ้นเพราะข้าพเจ้าเห็นสภาพปัญหาความยากจนของนักเรียน รู้สึกสงสารเด็กๆ ที่ต้องขาดเรียนไปรับจ้างทำงานช่วยผู้ปกครอง หลังจากปรึกษาหารือกัน จึงดำเนินการขอทุนสนับสนุนและได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิศุภนิมิตร แห่งประเทศไทย เป็นพันธุ์ปลา แม่ไก่ไข่ และพันธุ์ผัก  โดยแบ่งพื้นที่ให้ครอบครัวละ 10x12 ตารางเมตร (ดังที่กล่าวไปแล้ว) แนวคิดคือ ให้ครอบครัวของนักเรียนมีส่วนร่วม และบริหารจัดการเป็นครอบครัว สิ่งที่ได้น้ำไปกินใช้ในครอบครัว ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ปกครองพอใจมาก เมื่อท้องอิ่ม สมองก็เจริญเติบโต ทำให้ผู้ปกครองภาคภูมิใจในบุตร-หลานของตนเอง ส่งผลให้ผู้ปกครองและโรงเรียนมีความผูกพันกัน เกิดจิตสำนึกที่ดีต่อโรงเรียน พึ่งพาอาศัยกัน ปลูกฝังความรับผิดชอบและการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างดียิ่งขึ้น....

....โครงการปลูกป่าลำน้ำห้วยค้อเขียวขจี ที่ได้รับงบได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ OILSCA ประเทศญี่ปุ่น ให้พันธุ์ไม้ต่างๆ  กอปรกับตอนนั้นกำลังดำเนินโครงการ ครอบครัวสุขสันต์ จึงได้จัดกิจกรรมให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองช่วยกันปลูกป่า ปลูกกล้วย ในวันวิสาฆบูชา.... เมื่อกล้วยให้ผลผลิต ก็นำมากินด้วยกัน แบ่งปันกัน เมื่อต้นไม้เติบโตขึ้นก็จะเป็นสมบัติของส่วนรวม  โดยครูทุกคน ผู้ปกครอง และนักเรียนได้ร่วมกันดูแลรักษาร่วมกัน...

... กิจกรรมครอบครัวสุขสันต์ร่วมกันดำนา ซึ่งจัดขึ้นในวันแม่ของทุกๆ ปี   หลังจากการรำลึกถึงคุณแม่ ไหว้แม่ในตอนเช้า  กินข้าวร่วมกันในตอนเที่ยง จะมาช่วยกันดำนา (หน้าโรงเรียน) ผลผลิตนำเข้าโรงครัวของโรงเรียน ทำนาด้วยกัน กินด้วยกัน ทุกคนมีส่วนร่วมและมีความสุขร่วมกัน...

...ในการเรียนการสอน ครูทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน PDCA ในกิจกรรม ครูให้ความรักนักเรียนเหมือนลูกหลาน ใช้คติร่วมกันว่า "สอนลูกตนเองอย่างไร ต้องสอนลูกคืนอื่นอย่างน้้น ลูกคนอื่นมาอยู่กับเรา ก็เหมือนลูกของเรา" ... จนในบางครั้งรู้สึกว่า เด็กๆ มาอยู่กับเรามากกว่าอยู่กับพ่อแม่เสียด้วยซ้ำไป... เมื่อเด็กๆ รักครู ครูรักเด็ก ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่คือบ้านหลังใหญ่ที่สุด ที่จะต้องดูแลร่วมกัน... เช่น 
  • กิจกรรมทำดูแลรักษาความสะอาดร่วมกัน แต่ละหมู่บ้าน แต่ละครอบครัว มีบริเวณรับผิดชอบร่วมกัน โดยที่ครูไม่ต้องควบคุมดูแล... 
  • กิจกรรมไปกลับปลอดภัย ให้พี่น้องแต่ละครอบครัวดูแลมารับส่งกัน โดยจะมีกิจกรรมเข้าแถวก่อนกลับบ้านทุกวัน  ให้พี่รับน้องกลับบ้าน กลับพร้อมกันทั้งครอบครัว
  • กิจกรรมหน้าเสาธง ให้มีการแบ่งภาระรับผิดชอบร่วมกัน หลังเคารพธงชาติ เป็นกิจกรรม "จิตศึกษา" โดยแต่ละระดับชั้นจะมีผู้นำในการทำกิจกรรม 
  • กิจกรรมเวรประจำในการเตรียมอาหารให้พอเพียงกับทุกคน ทุกคนรับประทานอาหารพร้อมกัน ทานข้าวหม้อเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน จึงรักกัน หลังรับประทานอาหารก็ช่วยกันล้างจานชามภาชนะ  มีเวรประจำผลัดกันทำความสะอาด
  • กิจกรรมแปรงฟัน ให้พี่ ม.1- ม.3 ตรวจสอบความสะอาดเรียบร้อยให้น้อง ป.1-ป.6 ทุกวัน
...กิจกรรมค่ายครอบครัวลูกเสือพอเพียงร้อยเรียงสู่อาเซียน  บูรณาการระหว่างค่ายลูกเสือและค่ายส่งเสริมภาษาอังกฤษ โดยให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งครู ตัวแทนนักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง ตั้งแต่มีส่วนในการวางแผน ร่วมเตรียมงาน และร่วมในวันงาน  ขั้นตอนหลักของค่าย มีดังนี้ 
    • ปลูกผักเอง วางแผนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการปลูกผัก โดยประมาณเวลาให้พอดีกับวันจัดค่าย "เมื่อผักโต เราจัดค่าย"
    • นอกจากกิจกรรมเดินทางไกล กิจกรรมรอบกองไฟ และฐานผจญภัยต่างๆ แล้ว ได้จัดให้มีงานวิชาการ ภาษาอังกฤษ ในลักษณะเป็น ฐานการเรียนรู้ในค่าย
    • แบ่งลูกเสือคละชั้น แต่ละกลุ่มมีพี่ ม.3 น้อง ม.1-2 ป.1-6  จัดให้มีภารกิจร่วมกัน ให้จัดเตรียมภาชนะเองในการรับประทานเนื้อย่างเกาหลีร่วมกัน เรียกว่า "อาหารคุณธรรม"  
    • ให้พี่สอนน้องทำเนื้อย่าง  ให้น้องกินให้อิ่มก่อน พี่ค่อยกินทีหลังพร้อมกับผู้ปกครอง
    • มากินกันทั้งหมู่บ้าน แต่ละครอบครัวรับลูก ป.1-3 กลับบ้านหลังเลิกกิจกรรมรอบกองไฟ
    • ให้นักเรียนได้ "ถอดบทเรียนร่วมกัน" พบว่าผู้ปกครองพึงพอใจมาก 
...กิจกรรม "ห้วยค้อโรงเรียนที่ฉันรัก" เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกการรักษาสิ่งแวดล้อม และปลูกฝังให้รักโรงเรียนและชุมชนของตนเอง โดยจัดให้ครอบครัวเดียวกันและบ้านใกล้กันรับผิดชอบบริเวณเดียวกัน กวาดใบไม้มากองรวมกันก่อนนำไปทำปุ๋ยหมักใส่ต้นไม้ เรียกว่า "เศรษฐีใบไม้"

...กิจกรรม  "ดอกทานตะวันบานที่บ้านห้วยค้อ"  หลังจากเก็บเกี่ยวข้าว ทุกคนจะได้ปลูกดอกทานตะวัน ดูแลรักษา นำไร่ทานตะวันไปบูรณาการกับการเรียนการสอนในลักษณะฐานการเรียนรู้บูรณาการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 

 ท่านผู้อ่านบันทึกนี้ คงเห็น "ข้อความสี" ความหมายและความนัยของกิจกรรม "ฐานใจ" ทั้งหมดนั้น ทักทอสายใยรักของครอบครัว ทำให้โรงเรียนให้เป็น บ้านหลังใหญ่ นี่คือปัจจัยของความสำเร็จของ ผอ.และครูโรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖  ผมขออนุญาตเรียก รูปแบบการเรียนรู้โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแบบนี้ว่า "การเรียนรู้ฐานครอบครัว" หรือ Family-based Learning หรือย่อเป็น FBL


(ตอนนี้ห้วยค้อฯ กำลังเขียนเรื่องเล่า หนังสือเล่มเล็ก อีกไม่นานเกินรอครับ)