เป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา ที่ทุกท่านต้องระลึกไว้ในใจและตระหนักซ้ำย้ำทวนกับคนที่เกี่ยวข้องเสมอ คือ การปลูกฝัง "อุปนิสัยพอเพียง" ให้กับนักเรียน โดยต้องกำหนดนิยามความหมายของคำว่า "อุปนิสัยพอเพียง" ไว้ให้รู้ชัดถึง "คุณค่า" ว่ากำลังจะทำอะไรเพื่ออะไร ก่อนจะใช้ประสบการณ์พิจารณาประกอบหลักวิชามาวางแผนการขับเคลื่อนฯ อย่างรอบคอบ "คุ้มค่า" และคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ กล่าวคือให้นำหลัก ปศพพ. มาใช้ในการขับเคลื่อนฯ นั่นเอง
ผมเข้าใจว่า "อุปนิสัยพอเพียง" ที่เป็นเป้าหมายของการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา โดยใช้รูปแบบและเครื่องมือของ รศ.ดร. ทิศนา แขมมณี มี ๓ ส่วนคือ "คิดเป็น ทำดี มีความรู้"
๑. คิดเป็น หมายถึง นักเรียนมีนิสัยการคิดบนหลักปรัชญา ปศพพ. คือ คิดพิจาณาด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจทำ คิดถึงผลลัพธ์ผลกระทบหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำทั้งระยะสั้นระยะยาว พร้อมทั้งคิดหาทางป้องกันหรือวิธีดำเนินการไว้ล่วงหน้า
๒. ทำดี หมายถึง การตัดสินใจและกระทำอย่างถูกต้องตามหลักปรัชญา ปศพพ. คือ สามารถ"ทำได้" ถูกต้องคุณธรรมจริยธรรม ถูกต้องตามหลักวิชาการ และพอดีพอประมาณกับตน(ตนเอง) กับคน(ที่เกียวข้อง) กับของ (วัตถุ:ทรัพยากรอื่นๆ) และสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของชุมชนและสังคม
๓. มีความรู้ หมายถึง รู้กว้าง (รอบรู้เรื่องที่เกี่ยวข้อง) รู้ลึก (รู้ความจริง รู้ตามหลักวิชา) รู้ละเอียด และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
ท่านชี้แนวทางว่า การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษานั้นสามารถทำได้ ๓ ทาง ได้แก่ ๑. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ๒. ใช้ในการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ และ ๓. ใช้ในวิถีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตจริง ดังแสดงรายละเอียดในรูป
การขับเคลื่อนฯ ในแต่ละแนวทางให้ใช้กระบวนการคิดและทำตามลำดับขั้นตอนตามแผนผังด้านล่างนี้
โดยเครื่องมือสำคัญที่ใช้คือ "๗ คำถามเพื่อพัฒนากระบวนการคิดตามหลัก ปศพพ." ดังนี้
๑. จะทำอะไร? / ทำทำไม?
๒. มีความรู้เพียงพอในเรื่องที่จะทำหรือไม่? / ต้องศึกษาหาความรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง?
๓. มีความพร้อมหรือไม่? / มีความเป็นไปได้ที่จะทำหรือไม่?
๔. ทำอย่างไรจึงจะพอดี พอประมาณ? / ทำอย่างไรจะสามารถรองรับปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้?
๕. ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ?
๖. อะไรที่ทำได้ดี? / อะไรที่ยังทำไม่ได้ดี จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร?
๗. เกิดการเรียนรู้อะไรขึ้นบ้างจากการคิด/ทำตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ผมเข้าใจว่า วัตถุประสงค์สำคัญของแต่ละคำถามที่ท่านสร้างขึ้นน่าจะเป็น ดังนี้
- ทำอะไร? / ทำทำไม?....ถามให้เห็นความสำคัญ เห็นประโยชน์ คุ้มค่า มีคุณค่า
- มีความรู้เรื่องนั้นหรือไม่? ....ถามให้รู้รอบ (รู้กว้าง รู้ละเอียด รู้ลึก)
- มีความพร้อมหรือไม่? ...ถามให้สำรวจตนเอง รู้ตนเอง รู้รอบเกี่ยวกับตนเอง
- สำรวจแบบ 5M (man, money, materials, management, market) หรือ
- สำรวจแบบ 4มิติ (สังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ/วัตถุ, สิ่งแวดล้อม) หรือ
- สำรวจแบบ 3ดู (ดูตน, ดูคน, ดูชุมชนสังคมบริบท)
- ทำอย่างไรให้พอดี? .... มีคุณธรรมไหม เบียดเบียนตน คนอื่นหรือไม่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือสังคมหรือไม่...
- ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ .... คุณธรรมอะไร ความรู้อะไร ที่ต้องมีต้องใช้จึงจะทำให้สำเร็จ..
- อะไรที่ทำได้ดี? ...ประทับใจในผลอะไรที่เกิดขึ้น.. กระบวนการ/วิธีการที่ทำ บุคคลที่เกี่ยวข้อง
- ได้เรียนรู้อะไร? ...ให้พิจารณาจากความรู้ที่ได้เพิ่มเติม วิธีคิดแบบใดที่เปลี่ยน เจตคติที่เปลี่ยน ตนเองดีขึ้นอย่างไร ชีวิตดีขึ้นหรือไม่
ผมสังเกตว่า ครูบีพีที่มูลนิธิฯ เลือกมาร่วมในการถอดบทเรียนในครั้งนี้ หลายท่านนำเครื่องมือเหล่านี้ ไปใช้ และประสบผลสำเร็จจนภาคภูมิใจหลายท่าน ซึ่งทางมูลนิธิฯ คงได้นำมาแบ่งปันบอกต่อโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่ผมประทับใจที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้ คือ "ข้อคิด" สำหรับคนที่จะนำเครื่องมือนี้ไปใช้ ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ "แข็ง" หรือ "ติดรูปแบบ" ดังนี้
- การตั้งคำถามที่ดีนั้นสำคัญ แต่ที่สิ่งที่สำคัญกว่าคือคำตอบ ครูควรพิจารณาว่าเหตุผลของนักเรียนนั้นถูกต้องหรือไม่ ถามต่อว่าถูกต้องตามหลักอะไร เช่น หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักคุณธรรม ฯลฯ แล้วพิจารณาว่าจะส่งเสริมหรือแนะนำอย่างไร สรุปคือ การสนทนา ถาม-ตอบ เพื่อฝึกทักษะการคิดตามหลัก ปศพพ. นั่นเอง.... ผมเข้าใจว่า การแทรกหลักปรัชญาฯ ในลักษณะนี้ว่า "การแทรกทีละส่วน"
- การออกแบบการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทำโครงงานนั้น เด็กจะได้ทำงาน เมื่อได้ทำงานแสดงว่าเด็กจะได้ทำและได้คิด ทุกครั้งที่เด็กได้ทำหรือได้คิด เป็นโอกาสที่จะได้ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นการทำโครงงานจึงสามารถสอดแทรกหลักปรัชญาฯ ได้อย่างเป็นกระบวนการ หรืออาจเรียก การแทรกหลักปรัชญาฯ ในลักษณะนี้ว่า "การแทรกอย่างบูรณาการ"
- ท่านว่า หากมีอุปนิสัยพอเพียง ทุกครั้งที่ทำและคิด จะประกอบด้วย ความรู้ และคุณธรรมเสมอ
- สิ่งที่นักเรียนควรได้ฝึกฝนให้มากคือ การพิจารณา เหต->ผล หรือ Cause -> Effect การทำแผนผังหรือ Mind Mapping จะทำให้ทราบว่า เหตุเดียวอาจทำให้เกิดผลหลายอย่าง และผลบางอย่างจะทำให้เกิดเหตุอีกหลายอย่าง ประสานเชื่อมโยง ซับซ้อน
ฤทธิไกร ไชยงาม
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ปรับปรุงจากบันทึกเดิมที่
http://www.gotoknow.org/posts/549827
http://www.gotoknow.org/posts/549912
http://www.gotoknow.org/posts/550001



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น