วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ร่วมเสริมสร้างพลัง ร.ร.ศรร.ปศพพ. ณ กาญจนบุรี 21-24 ก.ค. ปี 2556

วันที่ 21-24 นี้ ผมร่วมเดินทางมากับตัวแทนโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ร.ร.ศรร.ปศพพ.) เพื่อมาร่วมงาน "การประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา" จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ .... ขออนุโมทนาบุญกับทางมูลนิธิฯ ไว้ ณ ที่นี่อีกครั้งครับ

ผมเดินทางกับ แม่วิไลวรรณ ครูวิลาวรรณ ผอ.สวัสดิ์ ครูมณีรัตน์ ครูเบญจมาศ ครูสุนิต และครูลักขณา รวม 8 คน เดินทางถึง คำแสดรีสอร์ท รีเวอร์แคว์ ต.รากหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เวลา 16:00 น. พอดีๆ ซึ่งนับว่านานพอดูสำหรับการออกแต่เช้าตรู่ตอนตี 4 ที่วัดป่าเรไรฯ 

วันที่ 21 ก.ค. 2556

ระหว่างที่รอการเริ่มต้น อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ผมได้รับโอกาสให้ทำ ice breaking แบบที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน ผมวิเคราะห์ทันทีว่า อ.ศศินี และท่าน ต้องการให้รู้จักกันก่อนเล็กน้อย เลยออกแบบและดำเนินกิจกรรมดังนี้ครับ
  • เรียนเชิญทุกท่าน "เดินแบบพอประมาณ" เชิญชวนให้ทุกคนออกมาเดินกลางวง ตามแต่ใจจะพาเดินไปในทางทิศใด ไปด้วยความเร็วที่ไม่ได้บอก หลังจากให้บอกให้หยุดก็ให้ทักทายกับเพื่อนที่ใกล้ที่สุด ...ซึ่งประโยคหลังนี้ไม่จำเป็นที่จะต้อง 
  • แล้วให้เดินต่อไป->หยุด->จับคู่->ให้ถามถึงการเดินทาง 
  • แล้วให้เดินต่อไป->เดิน-> จับคู่แล้วแล้วให้จับมือกัน มือซ้ายจับมือขวา มือขวาจับมือซ้าย หันหน้าเข้าหากัน แล้วสังเกตความรู้สึกว่า อุณหภูมิในมือของเพื่อนอุ่นกว่าหรือเย็นกว่ามือเรา  
  • แล้วเดินต่อ->หยุด->จับคู่แล้วสังส่งสัญญาณไปยังมือซ้าย อาจเป็นการบีบมือ เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว ให้ส่งสัญญาณนั้นกลับไปทางมือขวา วนไปเรื่อยๆ โดยให้สัญญาณมีระยะห่างประมาณครึ่งวินาที แล้วค่อยเพิ่มความเร็วเพิ่มขึ้้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งจึงให้สัญญาณหยุด 
  • แล้วเดินต่อไป แต่คราวนี้ให้เดินโดยไม่หายใจ คือให้กลั้นลมหายใจ (ผมดัดแปลงจากกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาของมหิดลที่ได้เรียนรู้ตอนไปร่วมกับมูลนิธิสดศรี) จนกว่าจะเดินกลับมายืนที่เดิม .... ผมสังเกตเห็นครูหลายคนต้องวิ่งกลับไปยังจุดเดิม และถอดลมหายใจแรงเมื่อเริ่มหายใจ 
  • แล้วให้เดินต่อ ให้ทดลองทำเดินแบบเดิมอีกครั้ง แต่ก่อนจะออกเดิน ได้กำหนดเงื่อนไขว่า ให้เดินด้วยความเร็วคงที่ เดินไปให้ได้ระยะทางไกลที่สุด และให้กลับมาที่เดิมด้วยเวลาที่เหมาะสมเหมาะเจาะพอดี.... ผมสังเกตว่า หลายท่านวางแผนการเดินแบบต่างๆ แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะเดินเป็นวงกลม มีบางท่านที่วางแผนเดินไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว แต่เดินก้าวช้าๆ
  • ให้เดินเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ผมเชื่อมโยงมายังหลักพื้นฐานของ ปศพพ. ด้านความพอประมาณกับตนเอง ซึ่งต้องวางแผนให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง ออกแบบและประมาณเส้นทางการเดินของตนเอง ศักยภาพในการกลั้นลมหายใจของตนเอง และความเร็วในการเดินซึ่งต้องเกี่ยวกับการประมาณระยะเวลาในการเดิน 
  • จากนั้นให้เดินไปอย่างอิสระ สักครู่ก็ให้มองต่ำลง และสุดท้ายให้มองไปที่ส้นเท้าของคนข้างหน้า แล้ว 
  • หลังจากที่ให้กลับไปนั่งที่เดิม ผมตั้งคำถามว่า "มีใครสังเกตเห็น ว่าพวกเราเดินเป็นวงกลมไหมครับ"  ทำไมเราจึงเดินเป็นวงกลม  มีครูคนหนึ่งตอบว่า เพราะห้องเป็นวงกลม .... ผมเชื่อมโยงสู่กระแสสังคมทันที  อีกคำถามหนึ่งคือ "มีใคร เห็นไหมครับว่าเราเดินกันเป็นแถว มีใครตอบได้ไหมครับว่า ทำไมเราถึงเดินเป็นแถว"  ผมได้ยินเสียงตอบบ้างแต่ไม่ดังนัก เนื่องจากเวลาไม่มีมากนัก ผมรีบสรุปไปถึง การทำตามหน้าที่ของตนเอง การรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำตามโดยไม่ได้คิด ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าถูกหรือผิดนั้นไม่ดี ปศพพ. จะแก้ปัญหานี้ทั้งหมด
  • ผมสรุปสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งสั้นๆ ก่อนจะคืนไมค์ให้ ท่านอาจารย์ศศินี

เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ หลานเจ้าของคำเสดรีสอร์ท รีเวอร์ไซด์
  • ปี 2540 คำแสดเจอวิกฤตฟองสบู่ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก  
  • ศึกษาตัวเองพบว่า ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองมากที่สุดคือ "พลังงาน"  พิจารณาตนเอง พบว่า เรามีเศษอาหารเยอะมาก และเจอปัญหากลิ่นเหม็น 
  • จึงเริ่มผลิต แก๊สจากเศษอาหาร เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดเศษอาหาร ลงทุนไปจำนวนหนึ่ง ...จำไม่ได้... แต่สามารถคืนทุนได้ภายใน 3 ปี
  • ต่อมาเริ่มผลิต "แก๊สชีวมวล"
  • ตอนนี้ เราเอาขยะทุกส่วนของเรา มาแยกแล้วขาย เช่น พลาสติก ขวดแก้ว สายไฟ ฯลฯ  เราจ้างคน 2 คน เพื่อจัดการเรื่องนี้ และสามารถจ่ายเงินเดือนให้สองคนนี้  (ได้เป็นหลักหมื่นต่อเดือน)
  • ทุกวันนี้เราปลูกผักเอง 
  • สรุปว่า...   เราเริ่มจาก เราดูตัวเราเองก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไร....
  • ทุกวันนี้ เราเลี้ยงวัวควายที่นี่ เราได้วัวควายจากการไปไถ่ชีวิต  ..... ท่านรู้ไหมว่า วัวควายที่เราไถ่ชีวิตมาไปไหน ? ท่านมั่นใจได้ไงว่า เขาจะไม่รีไซเคิล อีก.....  เราไปไถ่วัวควายมาแล้วเอามาเลี้ยง ... เลี้ยงจนตาย....  แต่เรามีค่าใช้จ่าย
กิจกรรม Design Thinking
  • ให้ปั้นดินน้ำมันแทน "ความแตกต่าง" ของ timeline ที่เตรียมมาจากบ้าน และ timeline ที่ทำกันสดๆ จากกิจกรรมทำ timeline โดยเริ่มให้ปั้นส่วนตัวก่อน ใช้มือคิด อย่าใช้หัวคิด ใช้เวลาระยะหนึ่ง
  • แล้วให้อธิบายผลงานของตนเอง ต่อเพื่อนๆ 
  • ก่อนจะเอาผลงานเดี่ยว มารวมกันแบบ "ร่วมกัน" ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ นำสิ่งที่ค้นพบร่วมกันมาแสดงผ่านสัญญลักษณ์ ด้วยการเขียน "ประโยคเด่นที่เน้นให้สั้นและจุดประกายความคิด" 
  • แล้วนำไปวางรวมกันที่กลางห้อง แล้วลองให้ "สะท้อนความรู้สึก และข้อคิด" 
กิจกรรมแลกเปลี่ยน "กรณีตัวอย่าง"  คนที่ถูกเลือก คือ ผอ.จุฬภรณ์เฉลิมพระเกียรติ อ.ปนัดดา จากดาราวิทยาลัย และ อ.สถาพร จากรัชดา

อ.สถาพร บอกว่า
  • ผมเข้าโครงการนี้ตอน ม. 3 ตอนที่เรียนอยู่ โรงเรียนห้วยยอด
  • ผมพบว่า ความหมายจริงๆ เกิดจากการลงมือทำ จากการลงมือทำด้วยตนเอง และลงมือทำร่วมกับคนอื่นด้วย 
  • ผมคิดว่าการนำหลัก ปศพพ. มาใช้จะทำให้คนเป็นคนที่สมบูรณ์ คนที่สมบูรณ์คือคนที่ตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยอารมณ์  
  • นั่นคือฝึกนิสัย หรือฝึก "สันดาน" ให้ดีนั่นเอง 
  • สาเหตุที่ทำให้ "เด็กตรัง" ดุจัง ....  เพราะว่า เด็กไม่มีพื้นที่ในการแสดงออก เพราะผู้ใหญ่ไปจำกัดขอบเขต เช่น ไปตั้งด่านตรวจตามถนน จำกัดสิทธิ์ในการแสดงออกในพื้นที่ๆ ควรจะเป็น
  • เช่น กรณีเด็กต่อยกัน ผมไม่ได้ตีครับ...  ต่อยกันไปทำไม เราก็เจ็บ เขาก็เจ็บ ต่อยแล้วทำให้ผู้ใหญ่เดือนร้อนอีก....ถอดบทเรียนจนเข้าใจ ก็จะไม่ตีกันเอง.....
อ.ปนัดดา
  • สิ่งที่ภาคภูมิใจมากที่สุดคือ นักเรียนในห้องที่เราสอนเกิดหลักคิดที่ดี แม้ว่าจะอยู่ในสังคมเมืองที่นักเรียนหลากหลายทั้งทางฐานะและอุปนิสัย 
  • แท้ที่จริงแล้ว ...  หลักปรัชญาคือการนำหลักคิดไปสอน ... โดยที่ครูใช้นวัตกรรมคือ "คำถาม" ...
  • อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นกุญแจ คือ "เพื่อนช่วยเพื่อน" 
  • และที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งก็คือ กระบวนการ "ถอดบทเรียน" 
  • โจทย์ต่อไปคือต้อง ขับเคลื่อนสู่ "นักเรียนแกนนำ" ทั้งแกนนำหลัก แกนนำร่วม และแกนนำรอง ทำงานประสานกันแบบกลมกลืน  ....  ที่นี่มีนักเรียนตั้ง 6,000 กว่าคน 
  • สิ่งที่ภูมิใจมากอีกอย่างคือ เสียงสะท้อนจากผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง ที่ตอนแรกต้องการโทรศัพท์ไอโฟน แต่ตอนหลังไปบอกแม่ว่า ใช้โทรศัพท์เก่าของแม่ก็ได้ เพราะต้องการเพียงแค่นำมาโทรตอบรับกันเท่านั้น 
  • เราได้คำนึงถึงเด็ก ศักยภาพของเด็กๆ เป็นหลัก เช่น โครงการ
ผอ.สุภา
  • เราเน้นที่ใจ เมื่อมีใจ และร่วมใจ เราก็สามารถขับเคลื่อนสู่เด็กได้ทุกรูปแบบ
  • โรเรียนเรามีนักเรียนประมาณ 750 โรงเรียน 
จากนั้น อ.ชัยวัฒน์ ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เล่าเรื่องความภาคภูมิใจของตนเองในกลุ่มย่อยๆ ละ 5 คน
หลังรับประทานอาหารว่าง   กลับมาทำกิจกรรมลักษณะเดียวกัน แต่เปลี่ยนโจทย์เป็น "ความท้าทายอะไรที่เหลืออยู่"

วันที่ 23 กรกฎาคม  2556
  • อ.ชัยวัฒน์ เริ่มด้วยการนำสู่สมาธิ 5 นาที 
  • แล้วพูดถึงข่าวนักแบตมินตัน 2 คน ต่อยกันกลางสนาม ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทยสมัยนี้  .... แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร และชื่อเสียงประเทศจะเป็นอย่างไร 
  • แล้วต่อด้วยข่าวอธิการบดี มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สั่งให้แก้เกรดของลูกชาย  
  • ท่านเน้นย้ำคำของไอสน์ไตน์อีกครังคือ "เราไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยระดับการคิดเดียวกับการคิดที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
  • เราอาจแบ่งจิตออกเป็น 2 ระดับ คือ Ordinary Mind คือจิตธรรมดา กับ และ Brighthend Mind  โพธิจิต ซึ่ง Insight หยั่งรู้ หยั่งเห็น ปิ๊งแว๊บ หรือ Intuitive คือ เชาว์ปัญญา
  • หรืออาจแบ่ง 2 อย่างได้คือ Active Mind และ Quite Mind
  • AAR เกิดในสนามรบ โดย พ.อ. Hal Moore ในขณะที่ไปทำภารกิจ โดยตั้งคำถามกับผู้ปฏิบัติงาน (ระดับหัวหน้า) ว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง?   อะไรจะเกิดขึ้นอีก? และ  เราจะทำอย่างไรได้บ้าง?
  •  ท่านพูดสรุปเชื่อมต่อกิจกรรมการสนทนาทั้งสองวันที่ผ่านมว่า การทำงานเป็นทีม การสนทนาอย่างผ่อนคลาย จะเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญต่อไป 
  • ทุกอย่างต้องดูงดงามเสมอ ....ท่านพูดขณะที่ครูกำลังจัดกลุ่มกันเอง 
สุนทรียสนทนา 9:30-
กลุ่มที่ผมเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ มีสมาชิก 5 คน (ไม่รวมตนเอง) มี อ.ปนัดดา จาก ร.ร. ดาราวิทยาลัย  อ.สุชาดา จาก ร.ร. บ้านคลองยาว อ.ประสงค์ จาก ร.ร.หนองบัวแดง อ.นิตยา จาก ร.ร.ราชประชานุเคราะห์ที่ 55
  • อ.ชัยวัฒน์ พูดให้ทุกคนสัมผัส "สนามพลัง" จากการจัดบรรยากาศ 
  • ให้เอาปากกาด้ามหนึ่งวางไว้กลางวง เป็น คาถาอาญาสิทธิ์  ผู้ถือปากกาเป็นผู้พูด วัตถุประสงค์คือ จะสโลว์ดาวน์ การพูดช้าลง ให้มันสงบลง ซึ่งจะช่วยให้การพูดออกมาจากความรู้สึก
  • ผู้ฟังพยายามฟังให้ได้มากกว่าภาษา 
  • ผู้พูดให้รู้สังเกตตนเองตนเอง 
  • เมื่อพูดแล้ว อย่ายื่นให้คนอื่น แต่วางกลับไปไว้ตรงกลาง 
  • หลังจากที่เพื่อนวางปากกา อย่าหยิบปากกาทันที ให้ทิ้งเวลาสักครึ่งนาทีก่อน 
เริ่มการสนทนา ผมเข้ากลุ่มเพื่อทำหน้าที่เป็น Note Taker ครั้งแรกในชีวิต บันทึกได้ดังนี้ครับ
  • อ.ปนัดดา ประทับใจกิจกรรม design thinking ผ่านการปั้นดินน้ำมัน ซึ่งสามารถทำให้ทุกคนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองได้โดยอิสระ และ เมื่อนำมารวมกันก็จะเกิดการรวบรวมความคิดในมุมคิดที่ผิดแผกสร้างสรรค์ออกไป
  • อ.นิยม รู้สึกว่า การปั้นดินน้ำมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ท้ายสุดก็ได้ข้อคิดว่า การจะทำอะไรๆ ให้สำเร็จได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน เราปั้นเส้นแห่งการเวลาที่แสดงถึงเป้าหมายและแนวทางในการก้าวเดินของเราไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ รู้สึกว่าได้พักผ่อน ชอบบรรยากาศของที่นี่ตอนเดินไปด้านนอก รู้สึกว่าได้ผ่านคลาย 
  • อ.ประสงค์ บอกว่า ท่านเองเป็นคนที่ชอบทำเรื่องแก๊สชีวภาพ การทำชีวมวล อยู่แล้ว ในขณะที่ดูการทำดอกจีบ เราก็อยากเข้าไปดูให้ละเอียดกว่านั้น  ส่วนโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย เมื่อดูแล้วก็คิดถึง บ่อบำบัดน้ำเสียที่ห้วยทราย ซึ่งจัดการดีมาก ดีกว่าที่นี่ อย่างไรก็ตาม ก็เข้าใจว่า เขาทำเพื่อให้เราเกิดแนวคิดในการนำไปใช้ต่อไป  และที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ น้ำส้มควันไม้ ที่ผมสนใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ  .... เป็นเรื่องที่สนใจและอยากจะทำต่อ ... แต่ก็สงสัยอยู่ว่าถ้าจะทำให้เหลือ 5 เปอร์เซนต์ จะทำอย่างไร   ผมเคยเอาน้ำสัมควันไม้ไปใส่หมาที่ขนหล่น ซึ่งได้ผลดีมาก ต่อมาเลยเอาไปทดลองกับควาย เพื่อป้องกันยุงหรือแมลงที่กัดมัน 
  • อ.ประสงค์ เล่าว่า .... บางอย่างเราคิดว่าเราฉลาดกว่าควาย แต่บางเรื่องต้องคิดให้ดี   ผมเคยทำบวกควาย เพื่อให้ควายมันนอน แต่ควายไม่ยอมนอน ควายมายืนดู   แต่พอต่อมา พอควายมันเห็นก๊อกน้ำที่รั่วอยู่ มันเดินไปเอาท้าวย่ำๆ แล้วนอนลง กลิ้งไปกลิ้งมา กลายเป็น "บวกควาย" ทันที 
  • อ.สุชาดา ประทับใจการปั้นดินน้ำมันเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่มีความสามารถในการปั้น  เลยนั่งนึกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ปั้นเป็นแท่งยาวๆ 3 อัน 
  • อ.สุชาดา ประทับใจ การ Check in  ท่านบอกว่า การไปอบรมที่ไหนจะไม่ค่อยได้มาคุยเกี่ยวกับความรู้สึก 
  • อ.ศิริพร ประทับใจ design thinking เหมือนกัน  ดิฉันปั้นนกหมายถึงอิสระ แต่ก็มีคำถามว่า ต่อไปจะทำอย่างไรต่อไป 
  • อ.ประสงค์ เล่าเรื่องควายและวัวที่โรงเรียน วัวตัวหนึ่งชื่อ "สงค์" วัวตัวแดงชื่อ "ไพลิน" แทนชื่อครูประสงค์ กับครูไพลิน ซึ่งเป็นวัวที่ไถ่มาและตั้งใจว่าจะเลี้ยงกันแก่ตายกันไปข้างหนึ่ง  สิ่งที่อยากทำต่อคือ "กิจกรรมควายบำบัด"... คิดไปเรื่อย ทำไปเรื่อย...
อ.ชัยวัฒน์ จับไมค์
  • อยากสะท้อนความรู้สึก ว่า มีกลุ่มใดที่ทำตาม กติกา ว่า ทิ้งระยะ 30 วินาที ก่อนจะจับปากกาบ้างไหม 
  • ในกลุ่มนั้นๆ มีใครจะลองสะท้อนให้เห็นไหมครับว่า เกิดความคิดใหม่ๆ เกิดความรู้สึกอย่างไร 
  • อ.ศิริขวัญ ตัวแทนกลุ่มบอกว่า ได้เห็นความเกร็งและมีสติในการพูด 
  • อ.ชัยวัฒน์ บอกต่อว่า ขอคนที่พูดคนที่สามได้ไหมครับ ... คิดว่าคุณภาพการคุยจะต่างไหมครับ ... ผู้ตอบยกตัวอย่างว่าเหมือนการทานอาหาร ที่ต้องทิ้งระยะระหว่างอาหารแต่ละประเภท 
  • อ. ท่านหนึ่ง บอกว่า การทิ้งระยะเวลาก่อนพูดต่อ ทำให้สิ่งที่เราพูดมีความหมายมากขึ้น ทำให้เราได้กลั้นกรองก่อน ทำให้ชัดกระชับขึ้น 
  • เปรียบเหมือนเราเล่นหมากรุก ว่า หากมีการจับเวลา จะทำให้เกิดคุณภาพของการพูด การคิดจะดีขึ้น หากฝึกบ่อยๆ จะดีต่อการสื่อสาร
  • ผมเคยไปร่วมกิจกรรมแบบนี้ที่อังกฤษ ชั่วเวลาเพียง 3 นาที ที่ไม่มีใครพูดเลยเป็นเวลาที่นานมาก 
  • ทดลองทำดูนะครับ มันจะทำให้คุณภาพของการพูด การฟัง ดีขึ้น 
  • ฝึกให้เห็น speak from the silence หรือ พูดจากความเงียบ
  • การทำให้จิตสงบ และ จำทำให้เราทำงานได้อย่างผ่อนคลาย ทำงานได้อย่างมีความสุข 
  • หัวใจสูงสุดของการทำงานนี้ (หมายถึง ปศพพ.) จะต้องมีสุขภาพใจดี กายดี ทำงานได้อย่างมีความสุข 
 หลังเบรค-กาแฟ
  • อ.ชัยวัฒน์ บอกว่า ท่านจะให้อะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเป็น กึ่งทฤษฎีหน่อยๆ  เรียกว่า ทฤษฎี "I We IT"
  • การทำงานอย่างมุีสติตระหนักรู้ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ระดับ หรือ 3 มิติ
  • เริ่มต้น ระดับที่ 1 ต้องตีให้แตกคือ IT คืออะไร ความหมายหรือ meaning มั่นคือะไร มันอยู่ตรงไหน เช่น ฐานการเรียนรู้ แปลงผัก เลี้ยงสัตว์ เจาะให้แตกว่าความหมายอยู่ตรงไหน
  • ระดับที่ 2  เมื่อตีความหมาย คุณค่าว่า ทำไมต้องทำ "แตกแล้ว" จะต้องมาดู "โครงสร้างและกระบวนการ" อะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง เช่น ฐานการเรียนรู้ ประกอบไปด้วยอะไร โครงสร้างระบบ เป็นอย่างไร ต้องเป็นอย่างไร วิธีการทำอย่างไร ดำเนินการอยางไรบ้าง 
  • ระดับที่ 3 คือ ผลลัพธ์ คืออะไรกันแน่ ผลลัพธ์ต่อ I เป็นไงบ้าง ผลลัพธ์ต่อ We เป็นอะไรอย่างไรบ้าง 
  • ท่านพูดอธิบาย ทฤษฎีการทำงานอย่างตระหนักรู้ 3 มิติ พอสมควร แล้วตั้งคำถามกับ "วง" ว่า สิ่งที่เราทำผ่านมานั้น มีอะไรสอดคล้อง มองย้อนตนเอง อย่างไรบ้าง
  • แล้ว "โยน" ให้แต่ละวงใช้สุนทรียสนทนากัน 

สุนทรีย สนทนา I We It
  •  อ.ชุติมา  ตอนมาใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีสติเท่าใดนัก ตอนแรกๆ ก้จะเข้ามาช่วยในการดูแลเด็กๆ 
อ.ประสงค์
  • ถ้าเป็น I  I เนี่ยทำมาก ผมกับ ผอ. เป็นเพื่อนกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน สนิทกัน เล่นกันได้ตลอดเวลา  .... ความจริงจุดกำเนิดของผมคือ เกิดตอนกรณีครูเกิน เขาคัดคนออกจาก กศน. ผอ.คนนี้เขาได้ซี 8 เพราะผม ผมจะขึ้นเวทีพูดให้แก หลังจากผมไปคุยกับผอ. จึงได้ย้ายเข้ามา
  • ตอนแรก เราทำ 26 ฐานครับ เกือบตาย... เหลือแต่ช้างกับม้าที่ไม่ได้เลี้ยง  อยู่ที่โรงเรียนตลอด ...ตอนหลังก็เลยมาถามตนเองว่า ที่เราทำเนี่ยมันเกินไปไหม   ต่อมาให้ข้อคิดว่า เราต้องนำกิจกรรมทุกอย่างมาบูรณาการโดยเอาโครงการ ปศพพ. ตั้ง แล้วเอาโครงการอื่นๆ มาล้อรวมกัน  
  • เราต้องแข่งขัน ต้องทำให้ดี เพราะถ้าทำไม่ดี เราก็ไม่ได้ตังค์.... ตัวล่อคือเงิน สิ่งที่ทำคือโครงการ  
  • เราเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่ทุกวันนี้ไม่น้อยหน้าใคร ที่โรงเรียนมีเด็ก 123 คน
  • วันนี้ ผมอยากจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่...  แต่กว่าเราจะทำสำเร็จมาได้ทุกวันนี้ต้องใช้เวลาเยอะ  เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์  มั่นใจว่าความยั่งยืนจะมีแน่ตราบเท่าที่เราทำอยู่ ตราบเท่าที่ผมอยู่ทีนี่
  • ผมเองมีโอกาสในการเลือกคนที่จะมาเป็น ผอ. ดังนั้น เราจึงน่าจะสามารถเลือกคนที่จะมาสืบสานต่อไปได้ 
อ. นิยม จากราชประชานุเคราะห์
  • ตนเองเลื่อมใสศรัทธา ในหลวง " ท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ยังดูแล้วเอาใจใส่ขนาดนี้ แล้วเราเป็นใคร แม้เป็นตัวเล็กๆ ก็อยากที่จะมีส่วนในการรับใช้เบื้องพระยุคบาท" 
  • ผู้บริหารก็ยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่ง จึงสามารถขับเคลื่อน ประชุมทีมงานหัวหน้างาน ผู้บริหาร ให้เข้าใจตรงกันได้ 
  • เราเป็นโรงเรียนกินนอน วิถีชีวิตระหว่างเด็กกับครูจะใกล้ชิดกันมาก ครูเป็นทั้งพ่อ แม่ พี่ อยู่ผูกพันกันมาก 
  • เรามีโครงการพระราชดำริประมาณ 15 โครงการ ที่ทำอยู่แล้ว  พ่อเรามาศึกษาเกณฑืของ ร.ร.ศรร.ปศพพ. นั้น เราพบว่าสอดคล้องกับเราหมดเลย เพียงแต่ยังกระจัดกระจาย 
  • ได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยราชภัฎในพื้นที่ ในการพัฒนาแผน พัฒนาคน โดยได้เข้าร่วมโครงการต่างๆ ของมูลนิธิฯ ตลอดมา  
  • เรานำแผนการเรียนรู้เดิมที่เรามี มาวิเคราะห์สอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และบูรณาการกัน ได้ 5 ศูนย์ คือ ศูนย์ชีววิถี ศูนย์อาชีพเพื่อการมีงานทำ 29 อาชีพ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม คำถามคือ ทำอย่างไรจะให้ เขานำไปใช้ในชีวิตของเขา  จะมีครูที่รับผิดชอบ แต่ละศูนย์
  • เด็กของเราสามารถที่จะถ่ายทอดได้ 
  • มันอยู่ในหลักสูตรอยู่แล้ว มันเป็นอัตตลักษณ์ของเราอยู่แล้ว ดังนั้นจึง ไม่มีวันตายค่ะ 
อ.ปนัดดา ดาราวิทยาลัย
  • หลักการสร้างคน เริ่มต้นต้องสร้างครู เริ่มต้นด้วยการสร้างครูจากแต่ละกลุ่มสาระ ทุกครั้งที่เราออกไปพัฒนาตนเองจะมีการนำกลับมาแชร์  
  • ปัญหาต่อมาคือ จะทำอย่างไรให้เด็กเกิดผลลัพธ์  เราได้สร้างนักเรียนแกนนำขึ้นมา 12 คน แล้วทำให้ต่อเนื่อง สารต่อรุ่นสู่รุ่น  
  • การทำงานแต่ละครั้งต้องใช้จิตอาสา ปัจจุบัน เรามีครูที่แข็งแกร็งและทีมนักเรียนที่เข้าใจ 
  • ปัจจัยสำคัญคือ คือสามัคคีและการร่วมมือ 
  • การจะได้รับชัยชนะ ไม่ใช่แค่วันเดียว คนเดียว แต่ใช้เวลานานและได้รับชัยชนะร่วมกัน 
I-We-IT คืออะไรกันแน่
  • ครูนางความหมายคือการทำอะไรที่มีคุณค่าศรัทธาต่อในหลวง วิสัยทัศน์คือกระบวนการสำคัญ และเป้าหมายคือเด็ก ตัวนักเรียน 
  • อ.สุชาดา ไอคือ เรามีส่วนร่วมอย่างไร วี คือส่วนรวมเป็นอย่างไร และ เป้าหมายคือทำอย่างไรให้เด็กมีอุปนิสัยพอเพียง 
  • อ.จุฑามาศ  ไอคือความร่วมมือจากเรา วีคือเราต้องร่วมมือกัน it คือจะทำอย่างไรให้โรงเรียนศูนย์ยั่งยืนต่อไป 
  • อ.ประสงค์ ไอ คือ เราต้องมีความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่น บางอย่างต้อง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น สอนให้เป็น  และเราต้องหาวิธีการที่หลากหลายรูปแบบ ที่จะทำและถ่ายทอดสู่ผู้อื่นๆ โดยเฉพาะชุมชน   ตอนนี้เรากำลังขยายสู่ชุมชนข้างนอก .... ความสำเร็จและผลลัพธ์ เรามองว่า โรงเรียนได้อะไร เราได้ความรู้จากการไปเที่ยว ไปศึกษาดูงาน เรามีการติดตามผลที่เกิดกับเด็กที่จบไปแล้ว .... อุปนิสัยพอเพียงเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสม เราพบว่านักเรียน ได้กระบวนการคิด เมื่อเราตั้งคำถามให้เด็กตอบ เราพบว่าการตอบคำถามของเด็กที่เปลี่ยนไป....   ครูเองก็ได้ผลงานทางวิชการ ตอนนี้ส่งไป 8 คน ได้แล้ว 7 คน เราทำงานได้ความสุขบ้างความทุกข์บ้าง แต่ก็ประสบผลสำเร็จร่วมกัน...ผมเองเคยถูกประเมินว่า ลักษณะการเขียนผลงานต่างๆ ก็ไม่ดีเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้ติดตามดูสิ่งที่ได้ทำทางเว็บไซต์ พบว่าทำจริง จึงเป็นการน่าเกลียดที่
  • อ.ปนัดดา ไอคือ ตัวตนของเราเอง วีคือเด็กผลที่เกิดกับเด็ก ส่วน it คือผลงานของเด็กๆ 
อ.ชัยวัฒน์ ให้แต่กลุ่มของเขียนถึง ข้อคิดอะไรดีๆ ที่น่าสนใจจากการคิด  กลุ่มที่ผมดูแลอยู่ ได้สังเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันได้เป็นคำสำคัญดังนี้ครับ
  • เห็นคุณค่า ศรัทธา นำสู่อุดมการณ์ 
  • เห็นตนเอง และยอมรับคนอื่น
  • ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน 
  • เรียนรู้จากการปฏิบัติ 
  • ผิดเป็นครู เรียนรู้จากปัญหา
  • ฝึกคิดด้วยคำถาม
  • สำเร็จด้วยความพอเพียง
หลังรับประทานอาหารเที่ยง
อ.ชัยวัฒน์
  • เล่าเรื่องราวต่างๆ เพื่อจะบอกเหตุผลของการนำ I We It มาใช้
  • ส่วนใหญ่ผู้บริหารจะมองแต่ it ที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง เช่น ทำโครงการธงฟ้า เพื่อปรับลดราคาสินค้า ซึ่งก็ไม่เคยแก้ไขได้ แต่ผู้บริหารได้หน้าตา ไม่มีผลกระทบต่อ We นอกจากสิ้นเปลืองงบประมาณ 
  • ท่านยกตัวอย่างมือถือ แต่ก่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก หนักยังกับวิทยุสนาม 5 กิโล แต่สมัยนี้ บางเฉียบ และทำอะไรได้ไม่รู้กี่อย่าง ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะ เขาไม่ยอมหยุดนิ่ง เราก็เหมือนกัน เราต้องไม่หยุดนิ่ง 
แล้ว อ.ชัยวัฒน์ ได้เปิดโอกาสให้ "วง" สะท้อนและร่วมแสดงความคิดเห็น
  • ผอ.ธีรเชษฐ์ หารือ อ.ชัยวัฒน์ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะลองใช้ "เชิงลบ" ของตนเอง มาใช้ประโยชน์ แทนที่จะใช้ "เชิงบวก" ของคนอื่น เช่น การพิจารณาตนเองว่า เรายังขาดอะไรอยู่ มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ ที่เขาทำได้ แต่เรายังทำไม่ได้ 
  • อ.ชัยวัฒน์ ตอบว่า มันไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องยืดหยุ่น หลากหลายวิธี  .... อยากชวนคุยก่อนว่า เราเข้าใจตรงกันหรือเปล่า ... ท่านบอกเพิ่มภายหลังว่า ลองใช้เป็นกระจกก็แล้วกัน  แล้วตั้งคำถามว่า หากเราบอกว่า ผอ.มีวิสัยทัศน์  แล้วถ้า ผอ.ย้ายไป วิสัยทัศน์ไปด้วยไหม... วิสัยทัศน์มันอยู่ตรงไหน
  • หลังจากหลายคนนำเสนอ  และท่านอยากให้อีกคนหนึ่งสะท้อนความเห็น แต่ไม่มีใครพูดเลย....วิธีการของท่านคือ..พูดว่า ..... ผมชอบความเงียบ  .... แต่วันนี้ใครจะมาทำลายความเงียบวันนี้ 
  • อ.ต๋อย บอกว่า โมเดลที่ I We It ที่เสนอหากสลับกลับด้าน เป็น เป้าหมายหรือผลลัพธ์ ->  ไปที่โครงสร้าง กระบวนการ วิธีการ -> ปรัชญา หลักคิด จิญญาณ 
  • คุณโต้งบอกว่า ทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกันแล้วคือ เป้าหมายที่ตัวเด็ก 
หลังเบรคกาแฟบ่าย ท่าน อ.ชัยวัฒน์ ได้ชวนคิด ถึง ความท้าทายในอนาคต หลังจากที่เราได้พูดถึงความภาคภูมิใจ หรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในแง่บวก  มองแนวโน้มจากวันนี้ไปถึงอนาคตถึง 2560 มีอะไรที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับเรา กับ ร.ร.ศรร.ปศพพ.  ทดลองครุ่นคิดสักคนละ 6 แนวโน้ม.... "เชิญครับ นั่งครุ่นคิดของตนเอง "
  • ปัจจุบันหนี้สินครัวเรือนเราเพิ่มขึ้น  ที่อันตรายคือ เราไม่รู้ว่ามีหนี้นอกระบบเท่าไหร่  หนี้เมืองไทยไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มีผลต่อการคุกคามสวัสดิภาพทางสังคมด้วย 
  •  เช่น หนี้สินเกินตัวจะกระทบถึงชีวิตครอบครัวู
  • จะเกิดการล้มตาย ความพินาศ ของระบบทุนนิยม และประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม 
  • จะเกิดเปลี่ยนแปลง "กระบวนทัศน์" ของการเรียนรู้ใหม่ จะเกิด "ความตระหนัก" ต่อแนวทางการเรียนรู้ตามหลักพุทธ ขึ้นอย่างกว้างขวาง 
  • ผู้คน สังคม และประเทศ จะน้อมนำหลัก ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้กับตนเอง จนสามารถอยู่รอดได้
  • หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นที่พื้นฐานที่มาของทุกทฤษฎีด้านสังคมเศรษฐกิจในโลกใหม่ 
  • ปริญญา จะไม่มีความหมาย ผู้นำทางสังคมจะไม่ใช่ นัก "ปรัชญา" แต่เป็นผู้มี "ปัญญา" ภายในด้วย 
  • ไม่ประเทศ ไม่มีพรมแดน ไม่มีกรอบ  ความร่วมมือจะเกิดขึ้น จนเกิด กฎหมายสากล ศาสนาสากล สถานที่สากล ฯลฯ
 ผมเดินเข้าไปร่วมสังเกตกลุ่มหนึ่ง จึงได้ฟังดังนี้ครับ
  • อ. การบริโภค วัตถุนิยม ชาวต่างชาติเข้ามาครอบครอง เทคโนโลยีก้าวหน้า
  • อ.สุนิต  บอกว่า คนจะหันมาเข้าใจ ปศพพ. มากขึ้น และนำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  และเทคโนโลยีไอซีทีจะเข้ามาเป็นสิ่งจำเป็น อาเซียนกำลังมา....
  • อ.อวยพร เห็นตรงกันว่า ประชาคมอาเซียนจะเข้ามามีความสำคัญ  แต่ปัจจุบัน เด็กใช้เทคโลยีผิดทาง
  • อ.วิไลวรรณ เห็นแนวโน้มการเข้ามาสู่ประชาคมอาเซียน แนวโน้มด้านครอบครัวจะเป็นด้านลบมากขึ้นๆ และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม .... อีกอย่างหนึ่งคือ ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มหันมาเห็นคุณค่าของศาสนาพุทธ
  • อ.ไลลา เห็นตรงกันว่าครอบครัวจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง  เทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งผลกระทบให้เกิดความห่างเหิน 
  • กระแสตามเพื่อน น่าจะแก้ไขได้ด้วยการขับเคลื่อน ปศพพ. ซึ่งครูของเรานี่แหละที่จะเป็นกุญแจสำคัญ โดย ร.ร.ศรร.ปศพพ. จะต้องเป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหา ป้องกันปัญหานี้ได้ 
ต่อไปนี้คือการสังเคราะห์ "แนวโน้มของความท้าทายจากวันนี้ถึงปี 2560" ของ ร.ร.ศรร.ปศพพ. แล้วให้ทุกกลุ่มวางผลการระดมความคิดไว้บนพื้น ให้เดือน "shopping" ความรู้ ด้วยวิธีการเดินเป็นวงกลมรอบๆ อ่านไป
  • อ.สภาพร เห็นความสำคัญว่าเราต้องเตรียมเด็กให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ  เพราะเราคงไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดได้ รู้สึกเศร้าใจมากเพราะส่วนมากแล้ว เราเห็นแต่ด้านลบกันมาก อย่างไรก็แล้วแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างว่า เราก็เจอข้อดีของมันบ้าง 
  • อ.ลักขณา รู้สึกเศร้าใจมากกว่า แต่หากมองในแง่บวก แบบ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เราอาจมองได้ว่า มันเป็นความท้าทายมากที่พวกเราจะทำงานนี้ 
  • อ.ปนัดดา ขอตั้งชื่อกิจกรรมนี้ว่า "กรงล้ออนาคต"  หมายถึงสิ่งที่หมุนวนเวียนมาแน่ของปัญหาเหล่านี้  และมองด้านดีคือทุนที่เรามีอยู่แล้ว 
  • ผอ.สวัสดิ์ บอกว่า ผมเขียนตั้ง 6 ข้อ มีปัญหาตั้ง 4 มีความดีอยู่แค่ 2 มันน่ากลัว น่ากลัวมาก แต่มีความมั่นใจว่า ถ้าเราทำงานหนัก เร่งทำงานนี้ อีกสี่ห้าปี เราจะมีเลือดใหม่ ดังนั้นๆ จึงมั่นใจว่า ประเทศไทยเรารอดแน่
  • ผอ.ธนิตา มองว่ากิจกรรมนี้เหมือนการถอดบทเรียนอนาคต และคิดว่าไม่เฉพาะพวกเรา แต่มีหน่วยงานต่างๆ เช่น มูลนิธิฯ มหาวิทยาลัย จะหันมาช่วยกันให้เดินไปได้ 
อ.ชัยวัฒน์ จับไมค์ ชวนคิดถึง หยิน-หยาง ในหยินมีหยาง ในหยางมีหยิน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีสองด้านเสมอ ดังนั้น นี่เป็นโอกาส เป็นโอกาสที่สถานการณ์จะสร้างวีรบุรุษ ..... (ท่านพูดปลุกพลังในตัวผู้ฟัง)
  • ลุกขึ้นมาดูแล ชุมชน สังคม สาธารณประโยชน์ทั้งหลาย
  • นี่คือโอกาสที่จะแสดงฝีมือ แสดงธาตุของความเป็นมนุษย์ 
  • ในหลวงท่านทรงสอนว่า ความเพียร เป็นตัวหลัก ความฉลาดเป็นตัวรอง เพราะความฉลาดเป็นกลุ่ม
  • ความเป็นองค์กร ความเป็นทีมต้องแข็งแกร่ง ดังนั้นกระบวนการ หรือระบบและกลไกที่ดีที่จะคัดเลือกและสืบสานต่อไปจึงสำคัญ
  • I ฉันเนี่ยเป็นใคร ฉันเป็นครู ครูที่เป็นแบบไหนถึงจะ ฝ่าฟันความยากลำบากไปได้ เอาชนะความท้าทายไปได้ คุณค่าและความหมายใด ที่ทำให้ I ต้องต่อสู้ดิ้นรนไป เพื่อตัวฉันเองหรือเพื่อใคร 
  • We คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และการให้คุณค่าและความหมายที่ถูกต้อง จะสามารถเอาชนะ ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ทุกๆ ครั้ง  ..... 
  • ท่านบอกว่า ท่านอยู่และเรียนในประเทศที่แพ้สงครามสองครั้งแต่ลุกขึ้นมาได้  สิ่งหนึ่งที่เป็น character สำคัญคือ ความไม่ยอมแพ้... เราก็ต้องมี
  • การส่งต่อ แรงบันดาลใจ ความภาคภูมิใจ กระบวนการ และวัฒนธรราการทำงานที่ดี เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
อ.ชัยวัฒน์  เปิดวีดีโอเรื่อง "ความตายของนักสู้วัวกระทิง"
  • แนะว่า ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ หากสังเกตจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากยุค "กลม" ไปเป็นยุค "เหลี่ยม" ของปิคัสโซ่
วันนี้ท่านจบด้วยการฝากให้ไปลองคิดดูซิว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดและจะทำต่อไปนั้น จำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปหรือไม่ อย่างไร

วันที่ 24 กรกฎาคม 2556

อ.ชัยวัฒน์ จับไมค์ หลังนั่งรวมสติสมาธิ
  • ต่อไปทั่วโลกจะให้ความสนใจต่อการ "ฝึกจิต" สู่ "โพธิจิต" มากขึ้น 
  • เทคโนโลยีจะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ....  แต่ปัจจุบัน "จิต" ต่ำลง 
  • ปัจจุบัน ทุกอย่าง "เป๋" ไปไม่มีที่สิ้นสุด  แต่สักวันมันจะกลับมา เหมือน "หยิน-หยาง" 
  • เมื่อเช้าท่านดูทีวี ที่แสดงการเรียนการสอน ด้าน ปศพพ. ในโรงเรียน  เห็นฐานการเรียนรู้เลี้ยงไก่ 
  • สิ่งเหล่านั้นทุกอย่างเป็น It ทั้งหมด แต่ความหมายของมันล่ะ? เด็กทุกคนจำเป็นต้องจบไปเลี้ยงไก่ไหม....
  • สิ่งที่กำลังมาแรงในอเมริกาคือ Urban Farming หรือเกษตรกรรมในเมือง  มีมากถึงง 20%  แต่ของเรา น้องที่ทำงาน NGO มีเพียง 5% 
  • สิงคโปร์ มีต้นไม้เยอะมาก ทำให้อากาศเย็นกว่าเรา ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรกว่าเรา
  • ส่วนใหญ่ที่เราทำตอนนี้มีแต่ It แต่ในอนาคตสิ่งที่สำคัญมากคือ We ซึ่งจำเป็นต้องรู้ความหมาย และคุณค่าของงาน 
  • การประชุมทั่วไป ผ่านมติทุกอย่างแต่ไม่ได้ผ่าน "หัวใจคน"
  • We ไม่สามารถได้ด้วยวิธี "เป็นทางการ" ไม่มีทาง 
  • กุญแจของระบบต่างๆ ทั้งหมด เช่น ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน โรงงาน ฯลฯ คือ การนับถือในความเป็นมนุษย์ การให้เกียรติซึ่งกันและหัน เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน 
  • ดังนั้น เวลาจะทำอะไร ใดๆ ต่อไปนี้ ต้องพิจารณาเรื่อง We เยอะๆ  ให้มีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ต้องรวมตัวกัน รวมตัวกันเพื่อการอยู่รอด ...ซึ่งสั่งสมมาจนกลายมาเป็นพื้นฐาน เป็นโครงสร้าง หรืออาจเรียกว่า "อยู่ใน ดีเอ็นเอ" ของเรา
  • ผลก็คือ ความสามัคคี ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ 
  • ดังนั้นเราจะไม่เลี้ยงไก่เพื่อเลี้ยงไก่ ไม่ได้ check in เพื่อ check in แต่ต้องเข้าถึงคุณค่าและความหมายของมัน 
อ.ชัยวัฒน์ ท่านเปลี่ยนเรื่องมาเป็น System Dynamics หรือ ระบบพลวัตร
  • เป้าหมายของเทคนิคนี้อยู่ที่ตัวระบบให้ได้สมดุล 
  • วิธีการเรียนรู้คือ ต้องเอาบางอย่างมาเป็นตัวตั้ง   ลองพิจารณาอ่างน้ำ ที่มีก็อกเปิดน้ำเข้า และมีวาล์วเปิดน้ำออก นอกจากนั้นวาล์วน้ำอาจมีหลายก็อกเช่น ก๊อกน้ำอุ่น น้ำเย็น เป็นต้น 
  • คำสำคัญของการจัดการระดับน้ำภายในอ่าน คือ flow in (ไหลเข้า) flow out (ไหลออก) และ stock (กักเก็บ) 
  • ระบบพลวัตรคือการจัดการกับ การไหลเข้า ไหลออก และกักเก็บ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ซึ่งต้องมีการตรวจเช็คเสมอระหว่าง ความต้องการหรือเป้าหมายกับสภาพปัจจุบัน 
  • ยกตัวอย่างเช่น ระบบการจัดการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของสวีเดน บริษัท IKEA  จะมีการตัดไม้ (flow out) และการปลูกไม้ (flow in) ตัดตรงไหนปลูกที่นั่น อีกสิ่สิบปีจะได้ตัดอีกครั้งทดแทนพอดี
  • อีกตัวอย่างคือ การสร้างเครดิต ความเชื่อถือ การไหลออกคือความเสื่อมเสีย ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ไม่รักษาเวลา ผลงานไม่มีคุณภาพ ฯลฯ  การไหลเข้าคือกิจกรรมหรือผลงานหรือความสำเร็จของงาน ฯลฯ
  • เครดิตเป็นเรื่องที่ต้องสร้างเอง ทำเอง 
  • อ.ชัยวัฒน์ เป็นอดีตนักเรียนเตรียม แต่ก่อนเรียนคณะวิทยาศาสตร์ และเลือกเรียนภาษาเยอรมัน  ท่านเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอล  
  • ท่านบอกว่า สมัยนั้น โรงเรียนเตรียมจะสนใจอยู่ 2 ห้อง คือห้องที่จะตก เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง และห้อง King ที่จะสร้างชื่อให้ตนเอง
  • เดี่ยวนี้การศึกษากลายเป็นธุรกิจไปแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้มากมายจากการขายความรู้
อ.ชัยวัฒน์ นำกลับมาสู่วง ด้วยคำถามว่า "...แล้วเราล่ะ ที่เราทำเราอยากบรรลุอะไร เราควบคุมอะไรอย่างไร"
  • ต้องสังเกตว่า ศรร. ของท่าน มีจุดอ่อนอะไรไหลออก สต็อคคืออะไร จุดแข็งของโรงเรียนคืออะไร  
  • เริ่มด้วยการเช็คสต็อค ว่าเรามีอะไร สิ่งที่เรามีคืออะไร
  • แล้วสิ่งที่เรามีในสต็อคมีการไหลออกไหม 
  • และสิ่งที่ไหลเข้าคืออะไร  ชดเชยได้ไหม 
  • ถ้าจะดีคือให้เช็คสต็อค 10 ปี
9:19 แยกกลุ่มแต่ละโรงเรียนให้วิเคราะห์ระบบพลวัตรของตนเอง
  • ให้เขียนเป้าหมายก่อน พูดคุยกันให้แจ่มกระจ่างเสียก่อนว่า เป้าหมายคืออะไร เช่น เป้าหมายคือเด็กมีอุปนิสัยพอเพียง
  • ต้องหาความหมายของเป้าหมายนั้น ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเป็นเป้าหมายนั้น เช่น  ทำไมเด็กต้องมีอุปนิสัยพอเพียง
  • ให้เขียนสต็อกก่อน จากนั้นให้มองถึงสิ่งที่ไหลออก ก่อนจะมองถึงสิ่งที่ไหลเข้า 
  • แล้ววิเคราะห์ว่า สิ่งที่ไหลเข้า และไหลออก นั้นทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้หรือไม่ อย่างไร 
11:00 อ.ชัยวัฒน์ สรุปอีกครั้งหนึ่ง
  • สังเกตว่าเป้าหมายที่ทำกันนั้น ยังไม่มีพลังพอ
  • เรื่องนี้เป็นเรื่องของใจ เป็นเรื่องของแรงบันดาลใจ 
  • เป้าหมายอาจเป็นวิสัยทัศน์ก็ได้ แต่สำคัญต้องมีพลัง มีความหมาย 
  • ตัวอย่าง เช่น มหาวิทยาลัยระดับโลก เปลี่ยนแปลงผู้บริหารมาแล้วกี่คน เปลี่ยนคณบดีมาแล้วกี่คน แต่ทำไมยังอยู่ได้
  • อีกตัวอย่างที่่น่าเศร้า คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งย่อมาจาก ศาสตร์ของธรรมะ ท่านปรีดีย์ ตั้งขึ้นมา เพื่อสร้างบัณฑิตแห่งธรรม แต่ถามว่า จิตวิญญาณ ที่ท่านตั้งนั้นยังคงอยู่หรือไม่ ....ไม่เลยครับ...
  • อีกตัวอย่างคือ วัดป่านานาชาติของหลวงพ่อชา สุภัทโท  ที่ยังสามารถรักษาธรรมะ และขยายสาขาต่อไปได้เรื่อยๆ ทั้งที่หลวงพ่อท่านไม่อยู่แล้ว
  • เช่นกัน การที่จะสามารถ ร.ร.ศรร. ปศพพ. ให้คงอยู่ จะต้องมี "จิตวิญญาณ" มี "โครงสร้าง" เช่น หลักสูตรที่เหมาะสมกับตนเอง 
  • ต้องไม่ทำให้ ร.ร.ศรร.ปศพพ. เป็นภาระใหม่ แต่มีความหมายใหม่ ต่างหาก ....อันนี้คือกุญแจสำคัญ
  •  ดังนั้น หลักสูตรการสอนและเทคนิคการสอน น่าจะเป็นเป้าหมายไหม?
  • นักเรียนที่มีอุปนิสัยพอเพียงนั้นเป็น it เป็นสิ่งที่ออกมาจากโครงสร้างที่ดี จากจิตวิญญาณที่ดี 
  • ส่วนสำคัญคือ We ของครู บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน 
  • ในต่างประเทศ การอบรม สั่งสอนนักเรียน ไม่ใช่เรื่องของโรงเรียนหรือครูฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกสวนของชุมชน
  • การเช็คสต๊อก ให้มองหาจุดเด่นของเราก่อน จุดที่เราภาคภูมิใจก่อน 
  • การดูด้านไหลออก สำคัญมาก ต้องปิดจุดรั่วก่อน 
  • จากนั้นก็พิจารณาว่าสิ่งใดที่จำเป็นต้องเติมให้ไหลเข้า หรือป้องกันไม่ให้ไหลเข้า 
อ.ชัยวัฒน์ สรุป
  • Timline
  • Design thinking
  • Dialouge 
  • การคิด 3 มิติ 
  • หัวใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
  • ระบบพลวัตร ซึ่งเป็นการควบคุมตัวแปรต่างๆ ให้ระบบเกิดความยั่งยืน 
11:27 กิจกรรม check out
  • อ.ไลลา  ตั้งแต่มาวันแรกเลย สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ การทำ timeline  และที่ได้มาทำ ทำให้เข้าใจเยอะขึ้น  และถ้ากลับไปจะนำกลับไปทำ น่าจะได้ประโยชน์ ... เราไม่ต้องเขียนอะไรมาก  กิจกรรม design thinking ก็ยังไม่เคยเจอ วิธีการที่จะทำให้คนคิดอยู่กับตนเองได้เป็นเรื่องยาก ที่นี่เป็นกิจกรรมที่น่าจะใช้ได้  ... และโมเดลต่างๆ ที่ได้เห็นก็น่าจะนำไปใช้ได้ 
  • อ.วิไลวรรณ จากที่อบรมมา สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม คือ ได้รู้วิธีที่จะไปชักชวน เพื่อนครูให้ได้เรียนรู้ร่วมกันคือ การมองแบบ I We It  ทำอย่างไรจะได้ It ที่มั่งคงยั่งยืนและมีคุณภาพ  อีกอย่างคือได้เรียนรู้เรื่องจิต ได้ทบทวนตนเอง ได้มองย้อนหลังตัวเรา และทำให้เราได้มองไปข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป
  • อ. วัดป่าเรไร    รู้สึกว่าได้ประโยชน์มาก ในกิจกรรมบางอย่างไม่เคยเห็น ไม่ทราบ เช่น timeline  ได้รู้ว่าทำอย่างไร อีกอย่างหนึ่งคือ design thinking เป็นกิจกรรมที่น่าจะนำไปใช้กับเด็กประถมได้ เป็นกิจกรรมที่ได้ประโยชน์มากๆ เลย  ทำอย่างไรเด็กๆ ที่จบจากโรงเรียนของเรา จะได้ย้อนกลับมาเหมือน ครูสถาพร 
  • อ. หนองบัวแดง   กิจกรรมทุกกิจกรรมได้ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้  โดยเฉพาะกิจกรรมที่ได้เปิดให้แชร์กัน ตอนแรกยังคิดอยู่ว่า ทำไมต้องจัดระบบการเรียนการสอนของ ปศพพ. ทำไมไม่จัดการเรียนการสอนโรงเรียนทั่วไป แต่พอมาร่วมกิจกรรมอบรมทำแผนฯ จึงได้เข้าใจ .... มาครั้งสมัครใจมา อยากมาเสริมความรู้ อยากรู้ว่าเขาจัดอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรบ้าง และวันนี้ได้เห็นแล้วว่าทำอย่างไร.... และเมื่อมาเห็นเด็กๆ อย่างครูสถาพร ยิ่งภูมิใจว่าเราจะทำได้แน่
  • อ.สถาพร  ปกติวันเสาร์อาทิตย์จะมีกิจกรรมกับนักเรียน  ก่อนมาก็ได้เปิดก๊อกหมดเลย เหลือไว้เพียงสิ่งที่ทำ  กิจกรรม timeline จะทำให้เราเข้าใจ ได้มองตนเอง .... สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง คือต้องเริ่มจากการมีสติก่อน .... และอีกสิ่งสำคัญคือ เครือข่ายความสัมพันธ์ผู้ปฏิบัติได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน อีกอย่างผมว่า ปศพพ. ต้องเริ่มต้นจากการที่ทำให้คนมีความเชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็จบตั้งแต่เริ่มต้น เช่น หาก ผอ. ถ้าไม่มีใครเชื่อก็จบ  I เป็นสิ่งสำคัญ แล้วกระบวนการจะตามมา และจะเกิดผลลัพธ์ขึ้นมากเอง ...แต่ก่อนผมอยู่ที่ห้วยยอดมาก่อน พวกผมมี 12 คน ที่ใช้รูปแบบกระบวนการนี้มา จนมั่นใจว่าได้ผล ...  ตอนนี้ทางมูลนิธิฯ (อ.ทรงพล) ส่งไปช่วยครูในโรงเรียน 
  • ศูนย์ประสานงานเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน จ.ตรัง เราแบ่งออกเป็น 4 ทีม แต่ละทีมทำงานต่างกัน เช่น ทีมหนึ่งเยาวชนฯ ทีมหนึ่งเรื่องการพัฒนาครู อีกทีมช่วยหญิงมีครรภ์ ฯลฯ 
Check Out รวม
  • อ.นงนุช ได้เรียนรู้มาก แต่จำนำไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น และจะติดตามงานของท่าน อ.ชัยวัฒน์ต่อไป
  • ผอ.ธนิตา วัดป่าเรไรฯ  กิจกรรมวันครึ่งที่ได้มาร่วม ทำให้ได้รู้ว่า เรามีสต็อกที่มีค่ามากแค่ไหน  ต้องถือว่าเป็นผู้มีบุญ เพราะถ้าไม่มางานนี้ อาจจะเป็น 20 ศพ ศพที่ 20 ในรถประจำทาง ร้อยเอ็ด-กรุงเทพฯ ที่ไปคืนตั๋วมา 
  • อ.ชัยวัฒน์ ย้ำอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์มีค่าที่สุด ดังนั้น ถ้าท่านสามารถจัดกระบวนการสนทนาที่เป็น มนุษย์กับมนุษย์คุยกันได้ พี่คุยกับน้อง  ความเมตตา กรุณาต่อกัน นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด 
ขอบคุณทุกท่านครับ หากมีบุญวาสนาได้เจอกันอีกก็คงได้ร่วมเรียนรู้กันอีก

สวัสดีครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น