ผมเดินทางกับ แม่วิไลวรรณ ครูวิลาวรรณ ผอ.สวัสดิ์ ครูมณีรัตน์ ครูเบญจมาศ ครูสุนิต และครูลักขณา รวม 8 คน เดินทางถึง คำแสดรีสอร์ท รีเวอร์แคว์ ต.รากหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เวลา 16:00 น. พอดีๆ ซึ่งนับว่านานพอดูสำหรับการออกแต่เช้าตรู่ตอนตี 4 ที่วัดป่าเรไรฯ
วันที่ 21 ก.ค. 2556
ระหว่างที่รอการเริ่มต้น อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ผมได้รับโอกาสให้ทำ ice breaking แบบที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน ผมวิเคราะห์ทันทีว่า อ.ศศินี และท่าน ต้องการให้รู้จักกันก่อนเล็กน้อย เลยออกแบบและดำเนินกิจกรรมดังนี้ครับ
- เรียนเชิญทุกท่าน "เดินแบบพอประมาณ" เชิญชวนให้ทุกคนออกมาเดินกลางวง ตามแต่ใจจะพาเดินไปในทางทิศใด ไปด้วยความเร็วที่ไม่ได้บอก หลังจากให้บอกให้หยุดก็ให้ทักทายกับเพื่อนที่ใกล้ที่สุด ...ซึ่งประโยคหลังนี้ไม่จำเป็นที่จะต้อง
- แล้วให้เดินต่อไป->หยุด->จับคู่->ให้ถามถึงการเดินทาง
- แล้วให้เดินต่อไป->เดิน-> จับคู่แล้วแล้วให้จับมือกัน มือซ้ายจับมือขวา มือขวาจับมือซ้าย หันหน้าเข้าหากัน แล้วสังเกตความรู้สึกว่า อุณหภูมิในมือของเพื่อนอุ่นกว่าหรือเย็นกว่ามือเรา
- แล้วเดินต่อ->หยุด->จับคู่แล้วสังส่งสัญญาณไปยังมือซ้าย อาจเป็นการบีบมือ เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว ให้ส่งสัญญาณนั้นกลับไปทางมือขวา วนไปเรื่อยๆ โดยให้สัญญาณมีระยะห่างประมาณครึ่งวินาที แล้วค่อยเพิ่มความเร็วเพิ่มขึ้้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งจึงให้สัญญาณหยุด
- แล้วเดินต่อไป แต่คราวนี้ให้เดินโดยไม่หายใจ คือให้กลั้นลมหายใจ (ผมดัดแปลงจากกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาของมหิดลที่ได้เรียนรู้ตอนไปร่วมกับมูลนิธิสดศรี) จนกว่าจะเดินกลับมายืนที่เดิม .... ผมสังเกตเห็นครูหลายคนต้องวิ่งกลับไปยังจุดเดิม และถอดลมหายใจแรงเมื่อเริ่มหายใจ
- แล้วให้เดินต่อ ให้ทดลองทำเดินแบบเดิมอีกครั้ง แต่ก่อนจะออกเดิน ได้กำหนดเงื่อนไขว่า ให้เดินด้วยความเร็วคงที่ เดินไปให้ได้ระยะทางไกลที่สุด และให้กลับมาที่เดิมด้วยเวลาที่เหมาะสมเหมาะเจาะพอดี.... ผมสังเกตว่า หลายท่านวางแผนการเดินแบบต่างๆ แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะเดินเป็นวงกลม มีบางท่านที่วางแผนเดินไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว แต่เดินก้าวช้าๆ
- ให้เดินเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ผมเชื่อมโยงมายังหลักพื้นฐานของ ปศพพ. ด้านความพอประมาณกับตนเอง ซึ่งต้องวางแผนให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง ออกแบบและประมาณเส้นทางการเดินของตนเอง ศักยภาพในการกลั้นลมหายใจของตนเอง และความเร็วในการเดินซึ่งต้องเกี่ยวกับการประมาณระยะเวลาในการเดิน
- จากนั้นให้เดินไปอย่างอิสระ สักครู่ก็ให้มองต่ำลง และสุดท้ายให้มองไปที่ส้นเท้าของคนข้างหน้า แล้ว
- หลังจากที่ให้กลับไปนั่งที่เดิม ผมตั้งคำถามว่า "มีใครสังเกตเห็น ว่าพวกเราเดินเป็นวงกลมไหมครับ" ทำไมเราจึงเดินเป็นวงกลม มีครูคนหนึ่งตอบว่า เพราะห้องเป็นวงกลม .... ผมเชื่อมโยงสู่กระแสสังคมทันที อีกคำถามหนึ่งคือ "มีใคร เห็นไหมครับว่าเราเดินกันเป็นแถว มีใครตอบได้ไหมครับว่า ทำไมเราถึงเดินเป็นแถว" ผมได้ยินเสียงตอบบ้างแต่ไม่ดังนัก เนื่องจากเวลาไม่มีมากนัก ผมรีบสรุปไปถึง การทำตามหน้าที่ของตนเอง การรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำตามโดยไม่ได้คิด ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าถูกหรือผิดนั้นไม่ดี ปศพพ. จะแก้ปัญหานี้ทั้งหมด
- ผมสรุปสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งสั้นๆ ก่อนจะคืนไมค์ให้ ท่านอาจารย์ศศินี
เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ หลานเจ้าของคำเสดรีสอร์ท รีเวอร์ไซด์
- ปี 2540 คำแสดเจอวิกฤตฟองสบู่ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
- ศึกษาตัวเองพบว่า ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองมากที่สุดคือ "พลังงาน" พิจารณาตนเอง พบว่า เรามีเศษอาหารเยอะมาก และเจอปัญหากลิ่นเหม็น
- จึงเริ่มผลิต แก๊สจากเศษอาหาร เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดเศษอาหาร ลงทุนไปจำนวนหนึ่ง ...จำไม่ได้... แต่สามารถคืนทุนได้ภายใน 3 ปี
- ต่อมาเริ่มผลิต "แก๊สชีวมวล"
- ตอนนี้ เราเอาขยะทุกส่วนของเรา มาแยกแล้วขาย เช่น พลาสติก ขวดแก้ว สายไฟ ฯลฯ เราจ้างคน 2 คน เพื่อจัดการเรื่องนี้ และสามารถจ่ายเงินเดือนให้สองคนนี้ (ได้เป็นหลักหมื่นต่อเดือน)
- ทุกวันนี้เราปลูกผักเอง
- สรุปว่า... เราเริ่มจาก เราดูตัวเราเองก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไร....
- ทุกวันนี้ เราเลี้ยงวัวควายที่นี่ เราได้วัวควายจากการไปไถ่ชีวิต ..... ท่านรู้ไหมว่า วัวควายที่เราไถ่ชีวิตมาไปไหน ? ท่านมั่นใจได้ไงว่า เขาจะไม่รีไซเคิล อีก..... เราไปไถ่วัวควายมาแล้วเอามาเลี้ยง ... เลี้ยงจนตาย.... แต่เรามีค่าใช้จ่าย
- ให้ปั้นดินน้ำมันแทน "ความแตกต่าง" ของ timeline ที่เตรียมมาจากบ้าน และ timeline ที่ทำกันสดๆ จากกิจกรรมทำ timeline โดยเริ่มให้ปั้นส่วนตัวก่อน ใช้มือคิด อย่าใช้หัวคิด ใช้เวลาระยะหนึ่ง
- แล้วให้อธิบายผลงานของตนเอง ต่อเพื่อนๆ
- ก่อนจะเอาผลงานเดี่ยว มารวมกันแบบ "ร่วมกัน" ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ นำสิ่งที่ค้นพบร่วมกันมาแสดงผ่านสัญญลักษณ์ ด้วยการเขียน "ประโยคเด่นที่เน้นให้สั้นและจุดประกายความคิด"
- แล้วนำไปวางรวมกันที่กลางห้อง แล้วลองให้ "สะท้อนความรู้สึก และข้อคิด"
อ.สถาพร บอกว่า
- ผมเข้าโครงการนี้ตอน ม. 3 ตอนที่เรียนอยู่ โรงเรียนห้วยยอด
- ผมพบว่า ความหมายจริงๆ เกิดจากการลงมือทำ จากการลงมือทำด้วยตนเอง และลงมือทำร่วมกับคนอื่นด้วย
- ผมคิดว่าการนำหลัก ปศพพ. มาใช้จะทำให้คนเป็นคนที่สมบูรณ์ คนที่สมบูรณ์คือคนที่ตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยอารมณ์
- นั่นคือฝึกนิสัย หรือฝึก "สันดาน" ให้ดีนั่นเอง
- สาเหตุที่ทำให้ "เด็กตรัง" ดุจัง .... เพราะว่า เด็กไม่มีพื้นที่ในการแสดงออก เพราะผู้ใหญ่ไปจำกัดขอบเขต เช่น ไปตั้งด่านตรวจตามถนน จำกัดสิทธิ์ในการแสดงออกในพื้นที่ๆ ควรจะเป็น
- เช่น กรณีเด็กต่อยกัน ผมไม่ได้ตีครับ... ต่อยกันไปทำไม เราก็เจ็บ เขาก็เจ็บ ต่อยแล้วทำให้ผู้ใหญ่เดือนร้อนอีก....ถอดบทเรียนจนเข้าใจ ก็จะไม่ตีกันเอง.....
- สิ่งที่ภาคภูมิใจมากที่สุดคือ นักเรียนในห้องที่เราสอนเกิดหลักคิดที่ดี แม้ว่าจะอยู่ในสังคมเมืองที่นักเรียนหลากหลายทั้งทางฐานะและอุปนิสัย
- แท้ที่จริงแล้ว ... หลักปรัชญาคือการนำหลักคิดไปสอน ... โดยที่ครูใช้นวัตกรรมคือ "คำถาม" ...
- อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นกุญแจ คือ "เพื่อนช่วยเพื่อน"
- และที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งก็คือ กระบวนการ "ถอดบทเรียน"
- โจทย์ต่อไปคือต้อง ขับเคลื่อนสู่ "นักเรียนแกนนำ" ทั้งแกนนำหลัก แกนนำร่วม และแกนนำรอง ทำงานประสานกันแบบกลมกลืน .... ที่นี่มีนักเรียนตั้ง 6,000 กว่าคน
- สิ่งที่ภูมิใจมากอีกอย่างคือ เสียงสะท้อนจากผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง ที่ตอนแรกต้องการโทรศัพท์ไอโฟน แต่ตอนหลังไปบอกแม่ว่า ใช้โทรศัพท์เก่าของแม่ก็ได้ เพราะต้องการเพียงแค่นำมาโทรตอบรับกันเท่านั้น
- เราได้คำนึงถึงเด็ก ศักยภาพของเด็กๆ เป็นหลัก เช่น โครงการ
- เราเน้นที่ใจ เมื่อมีใจ และร่วมใจ เราก็สามารถขับเคลื่อนสู่เด็กได้ทุกรูปแบบ
- โรเรียนเรามีนักเรียนประมาณ 750 โรงเรียน
หลังรับประทานอาหารว่าง กลับมาทำกิจกรรมลักษณะเดียวกัน แต่เปลี่ยนโจทย์เป็น "ความท้าทายอะไรที่เหลืออยู่"
วันที่ 23 กรกฎาคม 2556
- อ.ชัยวัฒน์ เริ่มด้วยการนำสู่สมาธิ 5 นาที
- แล้วพูดถึงข่าวนักแบตมินตัน 2 คน ต่อยกันกลางสนาม ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทยสมัยนี้ .... แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร และชื่อเสียงประเทศจะเป็นอย่างไร
- แล้วต่อด้วยข่าวอธิการบดี มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สั่งให้แก้เกรดของลูกชาย
- ท่านเน้นย้ำคำของไอสน์ไตน์อีกครังคือ "เราไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยระดับการคิดเดียวกับการคิดที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
- เราอาจแบ่งจิตออกเป็น 2 ระดับ คือ Ordinary Mind คือจิตธรรมดา กับ และ Brighthend Mind โพธิจิต ซึ่ง Insight หยั่งรู้ หยั่งเห็น ปิ๊งแว๊บ หรือ Intuitive คือ เชาว์ปัญญา
- หรืออาจแบ่ง 2 อย่างได้คือ Active Mind และ Quite Mind
- AAR เกิดในสนามรบ โดย พ.อ. Hal Moore ในขณะที่ไปทำภารกิจ โดยตั้งคำถามกับผู้ปฏิบัติงาน (ระดับหัวหน้า) ว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง? อะไรจะเกิดขึ้นอีก? และ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง?
- ท่านพูดสรุปเชื่อมต่อกิจกรรมการสนทนาทั้งสองวันที่ผ่านมว่า การทำงานเป็นทีม การสนทนาอย่างผ่อนคลาย จะเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญต่อไป
- ทุกอย่างต้องดูงดงามเสมอ ....ท่านพูดขณะที่ครูกำลังจัดกลุ่มกันเอง
กลุ่มที่ผมเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ มีสมาชิก 5 คน (ไม่รวมตนเอง) มี อ.ปนัดดา จาก ร.ร. ดาราวิทยาลัย อ.สุชาดา จาก ร.ร. บ้านคลองยาว อ.ประสงค์ จาก ร.ร.หนองบัวแดง อ.นิตยา จาก ร.ร.ราชประชานุเคราะห์ที่ 55
- อ.ชัยวัฒน์ พูดให้ทุกคนสัมผัส "สนามพลัง" จากการจัดบรรยากาศ
- ให้เอาปากกาด้ามหนึ่งวางไว้กลางวง เป็น คาถาอาญาสิทธิ์ ผู้ถือปากกาเป็นผู้พูด วัตถุประสงค์คือ จะสโลว์ดาวน์ การพูดช้าลง ให้มันสงบลง ซึ่งจะช่วยให้การพูดออกมาจากความรู้สึก
- ผู้ฟังพยายามฟังให้ได้มากกว่าภาษา
- ผู้พูดให้รู้สังเกตตนเองตนเอง
- เมื่อพูดแล้ว อย่ายื่นให้คนอื่น แต่วางกลับไปไว้ตรงกลาง
- หลังจากที่เพื่อนวางปากกา อย่าหยิบปากกาทันที ให้ทิ้งเวลาสักครึ่งนาทีก่อน
- อ.ปนัดดา ประทับใจกิจกรรม design thinking ผ่านการปั้นดินน้ำมัน ซึ่งสามารถทำให้ทุกคนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองได้โดยอิสระ และ เมื่อนำมารวมกันก็จะเกิดการรวบรวมความคิดในมุมคิดที่ผิดแผกสร้างสรรค์ออกไป
- อ.นิยม รู้สึกว่า การปั้นดินน้ำมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ท้ายสุดก็ได้ข้อคิดว่า การจะทำอะไรๆ ให้สำเร็จได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน เราปั้นเส้นแห่งการเวลาที่แสดงถึงเป้าหมายและแนวทางในการก้าวเดินของเราไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ รู้สึกว่าได้พักผ่อน ชอบบรรยากาศของที่นี่ตอนเดินไปด้านนอก รู้สึกว่าได้ผ่านคลาย
- อ.ประสงค์ บอกว่า ท่านเองเป็นคนที่ชอบทำเรื่องแก๊สชีวภาพ การทำชีวมวล อยู่แล้ว ในขณะที่ดูการทำดอกจีบ เราก็อยากเข้าไปดูให้ละเอียดกว่านั้น ส่วนโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย เมื่อดูแล้วก็คิดถึง บ่อบำบัดน้ำเสียที่ห้วยทราย ซึ่งจัดการดีมาก ดีกว่าที่นี่ อย่างไรก็ตาม ก็เข้าใจว่า เขาทำเพื่อให้เราเกิดแนวคิดในการนำไปใช้ต่อไป และที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ น้ำส้มควันไม้ ที่ผมสนใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ .... เป็นเรื่องที่สนใจและอยากจะทำต่อ ... แต่ก็สงสัยอยู่ว่าถ้าจะทำให้เหลือ 5 เปอร์เซนต์ จะทำอย่างไร ผมเคยเอาน้ำสัมควันไม้ไปใส่หมาที่ขนหล่น ซึ่งได้ผลดีมาก ต่อมาเลยเอาไปทดลองกับควาย เพื่อป้องกันยุงหรือแมลงที่กัดมัน
- อ.ประสงค์ เล่าว่า .... บางอย่างเราคิดว่าเราฉลาดกว่าควาย แต่บางเรื่องต้องคิดให้ดี ผมเคยทำบวกควาย เพื่อให้ควายมันนอน แต่ควายไม่ยอมนอน ควายมายืนดู แต่พอต่อมา พอควายมันเห็นก๊อกน้ำที่รั่วอยู่ มันเดินไปเอาท้าวย่ำๆ แล้วนอนลง กลิ้งไปกลิ้งมา กลายเป็น "บวกควาย" ทันที
- อ.สุชาดา ประทับใจการปั้นดินน้ำมันเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่มีความสามารถในการปั้น เลยนั่งนึกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ปั้นเป็นแท่งยาวๆ 3 อัน
- อ.สุชาดา ประทับใจ การ Check in ท่านบอกว่า การไปอบรมที่ไหนจะไม่ค่อยได้มาคุยเกี่ยวกับความรู้สึก
- อ.ศิริพร ประทับใจ design thinking เหมือนกัน ดิฉันปั้นนกหมายถึงอิสระ แต่ก็มีคำถามว่า ต่อไปจะทำอย่างไรต่อไป
- อ.ประสงค์ เล่าเรื่องควายและวัวที่โรงเรียน วัวตัวหนึ่งชื่อ "สงค์" วัวตัวแดงชื่อ "ไพลิน" แทนชื่อครูประสงค์ กับครูไพลิน ซึ่งเป็นวัวที่ไถ่มาและตั้งใจว่าจะเลี้ยงกันแก่ตายกันไปข้างหนึ่ง สิ่งที่อยากทำต่อคือ "กิจกรรมควายบำบัด"... คิดไปเรื่อย ทำไปเรื่อย...
- อยากสะท้อนความรู้สึก ว่า มีกลุ่มใดที่ทำตาม กติกา ว่า ทิ้งระยะ 30 วินาที ก่อนจะจับปากกาบ้างไหม
- ในกลุ่มนั้นๆ มีใครจะลองสะท้อนให้เห็นไหมครับว่า เกิดความคิดใหม่ๆ เกิดความรู้สึกอย่างไร
- อ.ศิริขวัญ ตัวแทนกลุ่มบอกว่า ได้เห็นความเกร็งและมีสติในการพูด
- อ.ชัยวัฒน์ บอกต่อว่า ขอคนที่พูดคนที่สามได้ไหมครับ ... คิดว่าคุณภาพการคุยจะต่างไหมครับ ... ผู้ตอบยกตัวอย่างว่าเหมือนการทานอาหาร ที่ต้องทิ้งระยะระหว่างอาหารแต่ละประเภท
- อ. ท่านหนึ่ง บอกว่า การทิ้งระยะเวลาก่อนพูดต่อ ทำให้สิ่งที่เราพูดมีความหมายมากขึ้น ทำให้เราได้กลั้นกรองก่อน ทำให้ชัดกระชับขึ้น
- เปรียบเหมือนเราเล่นหมากรุก ว่า หากมีการจับเวลา จะทำให้เกิดคุณภาพของการพูด การคิดจะดีขึ้น หากฝึกบ่อยๆ จะดีต่อการสื่อสาร
- ผมเคยไปร่วมกิจกรรมแบบนี้ที่อังกฤษ ชั่วเวลาเพียง 3 นาที ที่ไม่มีใครพูดเลยเป็นเวลาที่นานมาก
- ทดลองทำดูนะครับ มันจะทำให้คุณภาพของการพูด การฟัง ดีขึ้น
- ฝึกให้เห็น speak from the silence หรือ พูดจากความเงียบ
- การทำให้จิตสงบ และ จำทำให้เราทำงานได้อย่างผ่อนคลาย ทำงานได้อย่างมีความสุข
- หัวใจสูงสุดของการทำงานนี้ (หมายถึง ปศพพ.) จะต้องมีสุขภาพใจดี กายดี ทำงานได้อย่างมีความสุข
- อ.ชัยวัฒน์ บอกว่า ท่านจะให้อะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเป็น กึ่งทฤษฎีหน่อยๆ เรียกว่า ทฤษฎี "I We IT"
- การทำงานอย่างมุีสติตระหนักรู้ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ระดับ หรือ 3 มิติ
- เริ่มต้น ระดับที่ 1 ต้องตีให้แตกคือ IT คืออะไร ความหมายหรือ meaning มั่นคือะไร มันอยู่ตรงไหน เช่น ฐานการเรียนรู้ แปลงผัก เลี้ยงสัตว์ เจาะให้แตกว่าความหมายอยู่ตรงไหน
- ระดับที่ 2 เมื่อตีความหมาย คุณค่าว่า ทำไมต้องทำ "แตกแล้ว" จะต้องมาดู "โครงสร้างและกระบวนการ" อะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง เช่น ฐานการเรียนรู้ ประกอบไปด้วยอะไร โครงสร้างระบบ เป็นอย่างไร ต้องเป็นอย่างไร วิธีการทำอย่างไร ดำเนินการอยางไรบ้าง
- ระดับที่ 3 คือ ผลลัพธ์ คืออะไรกันแน่ ผลลัพธ์ต่อ I เป็นไงบ้าง ผลลัพธ์ต่อ We เป็นอะไรอย่างไรบ้าง
- ท่านพูดอธิบาย ทฤษฎีการทำงานอย่างตระหนักรู้ 3 มิติ พอสมควร แล้วตั้งคำถามกับ "วง" ว่า สิ่งที่เราทำผ่านมานั้น มีอะไรสอดคล้อง มองย้อนตนเอง อย่างไรบ้าง
- แล้ว "โยน" ให้แต่ละวงใช้สุนทรียสนทนากัน
สุนทรีย สนทนา I We It
- อ.ชุติมา ตอนมาใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีสติเท่าใดนัก ตอนแรกๆ ก้จะเข้ามาช่วยในการดูแลเด็กๆ
- ถ้าเป็น I I เนี่ยทำมาก ผมกับ ผอ. เป็นเพื่อนกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน สนิทกัน เล่นกันได้ตลอดเวลา .... ความจริงจุดกำเนิดของผมคือ เกิดตอนกรณีครูเกิน เขาคัดคนออกจาก กศน. ผอ.คนนี้เขาได้ซี 8 เพราะผม ผมจะขึ้นเวทีพูดให้แก หลังจากผมไปคุยกับผอ. จึงได้ย้ายเข้ามา
- ตอนแรก เราทำ 26 ฐานครับ เกือบตาย... เหลือแต่ช้างกับม้าที่ไม่ได้เลี้ยง อยู่ที่โรงเรียนตลอด ...ตอนหลังก็เลยมาถามตนเองว่า ที่เราทำเนี่ยมันเกินไปไหม ต่อมาให้ข้อคิดว่า เราต้องนำกิจกรรมทุกอย่างมาบูรณาการโดยเอาโครงการ ปศพพ. ตั้ง แล้วเอาโครงการอื่นๆ มาล้อรวมกัน
- เราต้องแข่งขัน ต้องทำให้ดี เพราะถ้าทำไม่ดี เราก็ไม่ได้ตังค์.... ตัวล่อคือเงิน สิ่งที่ทำคือโครงการ
- เราเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่ทุกวันนี้ไม่น้อยหน้าใคร ที่โรงเรียนมีเด็ก 123 คน
- วันนี้ ผมอยากจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่... แต่กว่าเราจะทำสำเร็จมาได้ทุกวันนี้ต้องใช้เวลาเยอะ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ มั่นใจว่าความยั่งยืนจะมีแน่ตราบเท่าที่เราทำอยู่ ตราบเท่าที่ผมอยู่ทีนี่
- ผมเองมีโอกาสในการเลือกคนที่จะมาเป็น ผอ. ดังนั้น เราจึงน่าจะสามารถเลือกคนที่จะมาสืบสานต่อไปได้
- ตนเองเลื่อมใสศรัทธา ในหลวง " ท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ยังดูแล้วเอาใจใส่ขนาดนี้ แล้วเราเป็นใคร แม้เป็นตัวเล็กๆ ก็อยากที่จะมีส่วนในการรับใช้เบื้องพระยุคบาท"
- ผู้บริหารก็ยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่ง จึงสามารถขับเคลื่อน ประชุมทีมงานหัวหน้างาน ผู้บริหาร ให้เข้าใจตรงกันได้
- เราเป็นโรงเรียนกินนอน วิถีชีวิตระหว่างเด็กกับครูจะใกล้ชิดกันมาก ครูเป็นทั้งพ่อ แม่ พี่ อยู่ผูกพันกันมาก
- เรามีโครงการพระราชดำริประมาณ 15 โครงการ ที่ทำอยู่แล้ว พ่อเรามาศึกษาเกณฑืของ ร.ร.ศรร.ปศพพ. นั้น เราพบว่าสอดคล้องกับเราหมดเลย เพียงแต่ยังกระจัดกระจาย
- ได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยราชภัฎในพื้นที่ ในการพัฒนาแผน พัฒนาคน โดยได้เข้าร่วมโครงการต่างๆ ของมูลนิธิฯ ตลอดมา
- เรานำแผนการเรียนรู้เดิมที่เรามี มาวิเคราะห์สอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และบูรณาการกัน ได้ 5 ศูนย์ คือ ศูนย์ชีววิถี ศูนย์อาชีพเพื่อการมีงานทำ 29 อาชีพ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม คำถามคือ ทำอย่างไรจะให้ เขานำไปใช้ในชีวิตของเขา จะมีครูที่รับผิดชอบ แต่ละศูนย์
- เด็กของเราสามารถที่จะถ่ายทอดได้
- มันอยู่ในหลักสูตรอยู่แล้ว มันเป็นอัตตลักษณ์ของเราอยู่แล้ว ดังนั้นจึง ไม่มีวันตายค่ะ
- หลักการสร้างคน เริ่มต้นต้องสร้างครู เริ่มต้นด้วยการสร้างครูจากแต่ละกลุ่มสาระ ทุกครั้งที่เราออกไปพัฒนาตนเองจะมีการนำกลับมาแชร์
- ปัญหาต่อมาคือ จะทำอย่างไรให้เด็กเกิดผลลัพธ์ เราได้สร้างนักเรียนแกนนำขึ้นมา 12 คน แล้วทำให้ต่อเนื่อง สารต่อรุ่นสู่รุ่น
- การทำงานแต่ละครั้งต้องใช้จิตอาสา ปัจจุบัน เรามีครูที่แข็งแกร็งและทีมนักเรียนที่เข้าใจ
- ปัจจัยสำคัญคือ คือสามัคคีและการร่วมมือ
- การจะได้รับชัยชนะ ไม่ใช่แค่วันเดียว คนเดียว แต่ใช้เวลานานและได้รับชัยชนะร่วมกัน
- ครูนางความหมายคือการทำอะไรที่มีคุณค่าศรัทธาต่อในหลวง วิสัยทัศน์คือกระบวนการสำคัญ และเป้าหมายคือเด็ก ตัวนักเรียน
- อ.สุชาดา ไอคือ เรามีส่วนร่วมอย่างไร วี คือส่วนรวมเป็นอย่างไร และ เป้าหมายคือทำอย่างไรให้เด็กมีอุปนิสัยพอเพียง
- อ.จุฑามาศ ไอคือความร่วมมือจากเรา วีคือเราต้องร่วมมือกัน it คือจะทำอย่างไรให้โรงเรียนศูนย์ยั่งยืนต่อไป
- อ.ประสงค์ ไอ คือ เราต้องมีความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมั่น บางอย่างต้อง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น สอนให้เป็น และเราต้องหาวิธีการที่หลากหลายรูปแบบ ที่จะทำและถ่ายทอดสู่ผู้อื่นๆ โดยเฉพาะชุมชน ตอนนี้เรากำลังขยายสู่ชุมชนข้างนอก .... ความสำเร็จและผลลัพธ์ เรามองว่า โรงเรียนได้อะไร เราได้ความรู้จากการไปเที่ยว ไปศึกษาดูงาน เรามีการติดตามผลที่เกิดกับเด็กที่จบไปแล้ว .... อุปนิสัยพอเพียงเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสม เราพบว่านักเรียน ได้กระบวนการคิด เมื่อเราตั้งคำถามให้เด็กตอบ เราพบว่าการตอบคำถามของเด็กที่เปลี่ยนไป.... ครูเองก็ได้ผลงานทางวิชการ ตอนนี้ส่งไป 8 คน ได้แล้ว 7 คน เราทำงานได้ความสุขบ้างความทุกข์บ้าง แต่ก็ประสบผลสำเร็จร่วมกัน...ผมเองเคยถูกประเมินว่า ลักษณะการเขียนผลงานต่างๆ ก็ไม่ดีเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้ติดตามดูสิ่งที่ได้ทำทางเว็บไซต์ พบว่าทำจริง จึงเป็นการน่าเกลียดที่
- อ.ปนัดดา ไอคือ ตัวตนของเราเอง วีคือเด็กผลที่เกิดกับเด็ก ส่วน it คือผลงานของเด็กๆ
- เห็นคุณค่า ศรัทธา นำสู่อุดมการณ์
- เห็นตนเอง และยอมรับคนอื่น
- ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน
- เรียนรู้จากการปฏิบัติ
- ผิดเป็นครู เรียนรู้จากปัญหา
- ฝึกคิดด้วยคำถาม
- สำเร็จด้วยความพอเพียง
อ.ชัยวัฒน์
- เล่าเรื่องราวต่างๆ เพื่อจะบอกเหตุผลของการนำ I We It มาใช้
- ส่วนใหญ่ผู้บริหารจะมองแต่ it ที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง เช่น ทำโครงการธงฟ้า เพื่อปรับลดราคาสินค้า ซึ่งก็ไม่เคยแก้ไขได้ แต่ผู้บริหารได้หน้าตา ไม่มีผลกระทบต่อ We นอกจากสิ้นเปลืองงบประมาณ
- ท่านยกตัวอย่างมือถือ แต่ก่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก หนักยังกับวิทยุสนาม 5 กิโล แต่สมัยนี้ บางเฉียบ และทำอะไรได้ไม่รู้กี่อย่าง ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะ เขาไม่ยอมหยุดนิ่ง เราก็เหมือนกัน เราต้องไม่หยุดนิ่ง
- ผอ.ธีรเชษฐ์ หารือ อ.ชัยวัฒน์ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะลองใช้ "เชิงลบ" ของตนเอง มาใช้ประโยชน์ แทนที่จะใช้ "เชิงบวก" ของคนอื่น เช่น การพิจารณาตนเองว่า เรายังขาดอะไรอยู่ มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ ที่เขาทำได้ แต่เรายังทำไม่ได้
- อ.ชัยวัฒน์ ตอบว่า มันไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องยืดหยุ่น หลากหลายวิธี .... อยากชวนคุยก่อนว่า เราเข้าใจตรงกันหรือเปล่า ... ท่านบอกเพิ่มภายหลังว่า ลองใช้เป็นกระจกก็แล้วกัน แล้วตั้งคำถามว่า หากเราบอกว่า ผอ.มีวิสัยทัศน์ แล้วถ้า ผอ.ย้ายไป วิสัยทัศน์ไปด้วยไหม... วิสัยทัศน์มันอยู่ตรงไหน
- หลังจากหลายคนนำเสนอ และท่านอยากให้อีกคนหนึ่งสะท้อนความเห็น แต่ไม่มีใครพูดเลย....วิธีการของท่านคือ..พูดว่า ..... ผมชอบความเงียบ .... แต่วันนี้ใครจะมาทำลายความเงียบวันนี้
- อ.ต๋อย บอกว่า โมเดลที่ I We It ที่เสนอหากสลับกลับด้าน เป็น เป้าหมายหรือผลลัพธ์ -> ไปที่โครงสร้าง กระบวนการ วิธีการ -> ปรัชญา หลักคิด จิญญาณ
- คุณโต้งบอกว่า ทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกันแล้วคือ เป้าหมายที่ตัวเด็ก
- ปัจจุบันหนี้สินครัวเรือนเราเพิ่มขึ้น ที่อันตรายคือ เราไม่รู้ว่ามีหนี้นอกระบบเท่าไหร่ หนี้เมืองไทยไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มีผลต่อการคุกคามสวัสดิภาพทางสังคมด้วย
- เช่น หนี้สินเกินตัวจะกระทบถึงชีวิตครอบครัวู
- จะเกิดการล้มตาย ความพินาศ ของระบบทุนนิยม และประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม
- จะเกิดเปลี่ยนแปลง "กระบวนทัศน์" ของการเรียนรู้ใหม่ จะเกิด "ความตระหนัก" ต่อแนวทางการเรียนรู้ตามหลักพุทธ ขึ้นอย่างกว้างขวาง
- ผู้คน สังคม และประเทศ จะน้อมนำหลัก ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้กับตนเอง จนสามารถอยู่รอดได้
- หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นที่พื้นฐานที่มาของทุกทฤษฎีด้านสังคมเศรษฐกิจในโลกใหม่
- ปริญญา จะไม่มีความหมาย ผู้นำทางสังคมจะไม่ใช่ นัก "ปรัชญา" แต่เป็นผู้มี "ปัญญา" ภายในด้วย
- ไม่ประเทศ ไม่มีพรมแดน ไม่มีกรอบ ความร่วมมือจะเกิดขึ้น จนเกิด กฎหมายสากล ศาสนาสากล สถานที่สากล ฯลฯ
- อ. การบริโภค วัตถุนิยม ชาวต่างชาติเข้ามาครอบครอง เทคโนโลยีก้าวหน้า
- อ.สุนิต บอกว่า คนจะหันมาเข้าใจ ปศพพ. มากขึ้น และนำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเทคโนโลยีไอซีทีจะเข้ามาเป็นสิ่งจำเป็น อาเซียนกำลังมา....
- อ.อวยพร เห็นตรงกันว่า ประชาคมอาเซียนจะเข้ามามีความสำคัญ แต่ปัจจุบัน เด็กใช้เทคโลยีผิดทาง
- อ.วิไลวรรณ เห็นแนวโน้มการเข้ามาสู่ประชาคมอาเซียน แนวโน้มด้านครอบครัวจะเป็นด้านลบมากขึ้นๆ และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม .... อีกอย่างหนึ่งคือ ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มหันมาเห็นคุณค่าของศาสนาพุทธ
- อ.ไลลา เห็นตรงกันว่าครอบครัวจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งผลกระทบให้เกิดความห่างเหิน
- กระแสตามเพื่อน น่าจะแก้ไขได้ด้วยการขับเคลื่อน ปศพพ. ซึ่งครูของเรานี่แหละที่จะเป็นกุญแจสำคัญ โดย ร.ร.ศรร.ปศพพ. จะต้องเป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหา ป้องกันปัญหานี้ได้
- อ.สภาพร เห็นความสำคัญว่าเราต้องเตรียมเด็กให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เพราะเราคงไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดได้ รู้สึกเศร้าใจมากเพราะส่วนมากแล้ว เราเห็นแต่ด้านลบกันมาก อย่างไรก็แล้วแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างว่า เราก็เจอข้อดีของมันบ้าง
- อ.ลักขณา รู้สึกเศร้าใจมากกว่า แต่หากมองในแง่บวก แบบ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เราอาจมองได้ว่า มันเป็นความท้าทายมากที่พวกเราจะทำงานนี้
- อ.ปนัดดา ขอตั้งชื่อกิจกรรมนี้ว่า "กรงล้ออนาคต" หมายถึงสิ่งที่หมุนวนเวียนมาแน่ของปัญหาเหล่านี้ และมองด้านดีคือทุนที่เรามีอยู่แล้ว
- ผอ.สวัสดิ์ บอกว่า ผมเขียนตั้ง 6 ข้อ มีปัญหาตั้ง 4 มีความดีอยู่แค่ 2 มันน่ากลัว น่ากลัวมาก แต่มีความมั่นใจว่า ถ้าเราทำงานหนัก เร่งทำงานนี้ อีกสี่ห้าปี เราจะมีเลือดใหม่ ดังนั้นๆ จึงมั่นใจว่า ประเทศไทยเรารอดแน่
- ผอ.ธนิตา มองว่ากิจกรรมนี้เหมือนการถอดบทเรียนอนาคต และคิดว่าไม่เฉพาะพวกเรา แต่มีหน่วยงานต่างๆ เช่น มูลนิธิฯ มหาวิทยาลัย จะหันมาช่วยกันให้เดินไปได้
- ลุกขึ้นมาดูแล ชุมชน สังคม สาธารณประโยชน์ทั้งหลาย
- นี่คือโอกาสที่จะแสดงฝีมือ แสดงธาตุของความเป็นมนุษย์
- ในหลวงท่านทรงสอนว่า ความเพียร เป็นตัวหลัก ความฉลาดเป็นตัวรอง เพราะความฉลาดเป็นกลุ่ม
- ความเป็นองค์กร ความเป็นทีมต้องแข็งแกร่ง ดังนั้นกระบวนการ หรือระบบและกลไกที่ดีที่จะคัดเลือกและสืบสานต่อไปจึงสำคัญ
- I ฉันเนี่ยเป็นใคร ฉันเป็นครู ครูที่เป็นแบบไหนถึงจะ ฝ่าฟันความยากลำบากไปได้ เอาชนะความท้าทายไปได้ คุณค่าและความหมายใด ที่ทำให้ I ต้องต่อสู้ดิ้นรนไป เพื่อตัวฉันเองหรือเพื่อใคร
- We คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และการให้คุณค่าและความหมายที่ถูกต้อง จะสามารถเอาชนะ ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ทุกๆ ครั้ง .....
- ท่านบอกว่า ท่านอยู่และเรียนในประเทศที่แพ้สงครามสองครั้งแต่ลุกขึ้นมาได้ สิ่งหนึ่งที่เป็น character สำคัญคือ ความไม่ยอมแพ้... เราก็ต้องมี
- การส่งต่อ แรงบันดาลใจ ความภาคภูมิใจ กระบวนการ และวัฒนธรราการทำงานที่ดี เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- แนะว่า ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ หากสังเกตจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากยุค "กลม" ไปเป็นยุค "เหลี่ยม" ของปิคัสโซ่
วันที่ 24 กรกฎาคม 2556
อ.ชัยวัฒน์ จับไมค์ หลังนั่งรวมสติสมาธิ
- ต่อไปทั่วโลกจะให้ความสนใจต่อการ "ฝึกจิต" สู่ "โพธิจิต" มากขึ้น
- เทคโนโลยีจะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด .... แต่ปัจจุบัน "จิต" ต่ำลง
- ปัจจุบัน ทุกอย่าง "เป๋" ไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่สักวันมันจะกลับมา เหมือน "หยิน-หยาง"
- เมื่อเช้าท่านดูทีวี ที่แสดงการเรียนการสอน ด้าน ปศพพ. ในโรงเรียน เห็นฐานการเรียนรู้เลี้ยงไก่
- สิ่งเหล่านั้นทุกอย่างเป็น It ทั้งหมด แต่ความหมายของมันล่ะ? เด็กทุกคนจำเป็นต้องจบไปเลี้ยงไก่ไหม....
- สิ่งที่กำลังมาแรงในอเมริกาคือ Urban Farming หรือเกษตรกรรมในเมือง มีมากถึงง 20% แต่ของเรา น้องที่ทำงาน NGO มีเพียง 5%
- สิงคโปร์ มีต้นไม้เยอะมาก ทำให้อากาศเย็นกว่าเรา ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรกว่าเรา
- ส่วนใหญ่ที่เราทำตอนนี้มีแต่ It แต่ในอนาคตสิ่งที่สำคัญมากคือ We ซึ่งจำเป็นต้องรู้ความหมาย และคุณค่าของงาน
- การประชุมทั่วไป ผ่านมติทุกอย่างแต่ไม่ได้ผ่าน "หัวใจคน"
- We ไม่สามารถได้ด้วยวิธี "เป็นทางการ" ไม่มีทาง
- กุญแจของระบบต่างๆ ทั้งหมด เช่น ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน โรงงาน ฯลฯ คือ การนับถือในความเป็นมนุษย์ การให้เกียรติซึ่งกันและหัน เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน
- ดังนั้น เวลาจะทำอะไร ใดๆ ต่อไปนี้ ต้องพิจารณาเรื่อง We เยอะๆ ให้มีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ต้องรวมตัวกัน รวมตัวกันเพื่อการอยู่รอด ...ซึ่งสั่งสมมาจนกลายมาเป็นพื้นฐาน เป็นโครงสร้าง หรืออาจเรียกว่า "อยู่ใน ดีเอ็นเอ" ของเรา
- ผลก็คือ ความสามัคคี ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ
- ดังนั้นเราจะไม่เลี้ยงไก่เพื่อเลี้ยงไก่ ไม่ได้ check in เพื่อ check in แต่ต้องเข้าถึงคุณค่าและความหมายของมัน
- เป้าหมายของเทคนิคนี้อยู่ที่ตัวระบบให้ได้สมดุล
- วิธีการเรียนรู้คือ ต้องเอาบางอย่างมาเป็นตัวตั้ง ลองพิจารณาอ่างน้ำ ที่มีก็อกเปิดน้ำเข้า และมีวาล์วเปิดน้ำออก นอกจากนั้นวาล์วน้ำอาจมีหลายก็อกเช่น ก๊อกน้ำอุ่น น้ำเย็น เป็นต้น
- คำสำคัญของการจัดการระดับน้ำภายในอ่าน คือ flow in (ไหลเข้า) flow out (ไหลออก) และ stock (กักเก็บ)
- ระบบพลวัตรคือการจัดการกับ การไหลเข้า ไหลออก และกักเก็บ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ซึ่งต้องมีการตรวจเช็คเสมอระหว่าง ความต้องการหรือเป้าหมายกับสภาพปัจจุบัน
- ยกตัวอย่างเช่น ระบบการจัดการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของสวีเดน บริษัท IKEA จะมีการตัดไม้ (flow out) และการปลูกไม้ (flow in) ตัดตรงไหนปลูกที่นั่น อีกสิ่สิบปีจะได้ตัดอีกครั้งทดแทนพอดี
- อีกตัวอย่างคือ การสร้างเครดิต ความเชื่อถือ การไหลออกคือความเสื่อมเสีย ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ไม่รักษาเวลา ผลงานไม่มีคุณภาพ ฯลฯ การไหลเข้าคือกิจกรรมหรือผลงานหรือความสำเร็จของงาน ฯลฯ
- เครดิตเป็นเรื่องที่ต้องสร้างเอง ทำเอง
- อ.ชัยวัฒน์ เป็นอดีตนักเรียนเตรียม แต่ก่อนเรียนคณะวิทยาศาสตร์ และเลือกเรียนภาษาเยอรมัน ท่านเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอล
- ท่านบอกว่า สมัยนั้น โรงเรียนเตรียมจะสนใจอยู่ 2 ห้อง คือห้องที่จะตก เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง และห้อง King ที่จะสร้างชื่อให้ตนเอง
- เดี่ยวนี้การศึกษากลายเป็นธุรกิจไปแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้มากมายจากการขายความรู้
- ต้องสังเกตว่า ศรร. ของท่าน มีจุดอ่อนอะไรไหลออก สต็อคคืออะไร จุดแข็งของโรงเรียนคืออะไร
- เริ่มด้วยการเช็คสต็อค ว่าเรามีอะไร สิ่งที่เรามีคืออะไร
- แล้วสิ่งที่เรามีในสต็อคมีการไหลออกไหม
- และสิ่งที่ไหลเข้าคืออะไร ชดเชยได้ไหม
- ถ้าจะดีคือให้เช็คสต็อค 10 ปี
- ให้เขียนเป้าหมายก่อน พูดคุยกันให้แจ่มกระจ่างเสียก่อนว่า เป้าหมายคืออะไร เช่น เป้าหมายคือเด็กมีอุปนิสัยพอเพียง
- ต้องหาความหมายของเป้าหมายนั้น ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเป็นเป้าหมายนั้น เช่น ทำไมเด็กต้องมีอุปนิสัยพอเพียง
- ให้เขียนสต็อกก่อน จากนั้นให้มองถึงสิ่งที่ไหลออก ก่อนจะมองถึงสิ่งที่ไหลเข้า
- แล้ววิเคราะห์ว่า สิ่งที่ไหลเข้า และไหลออก นั้นทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้หรือไม่ อย่างไร
- สังเกตว่าเป้าหมายที่ทำกันนั้น ยังไม่มีพลังพอ
- เรื่องนี้เป็นเรื่องของใจ เป็นเรื่องของแรงบันดาลใจ
- เป้าหมายอาจเป็นวิสัยทัศน์ก็ได้ แต่สำคัญต้องมีพลัง มีความหมาย
- ตัวอย่าง เช่น มหาวิทยาลัยระดับโลก เปลี่ยนแปลงผู้บริหารมาแล้วกี่คน เปลี่ยนคณบดีมาแล้วกี่คน แต่ทำไมยังอยู่ได้
- อีกตัวอย่างที่่น่าเศร้า คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งย่อมาจาก ศาสตร์ของธรรมะ ท่านปรีดีย์ ตั้งขึ้นมา เพื่อสร้างบัณฑิตแห่งธรรม แต่ถามว่า จิตวิญญาณ ที่ท่านตั้งนั้นยังคงอยู่หรือไม่ ....ไม่เลยครับ...
- อีกตัวอย่างคือ วัดป่านานาชาติของหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่ยังสามารถรักษาธรรมะ และขยายสาขาต่อไปได้เรื่อยๆ ทั้งที่หลวงพ่อท่านไม่อยู่แล้ว
- เช่นกัน การที่จะสามารถ ร.ร.ศรร. ปศพพ. ให้คงอยู่ จะต้องมี "จิตวิญญาณ" มี "โครงสร้าง" เช่น หลักสูตรที่เหมาะสมกับตนเอง
- ต้องไม่ทำให้ ร.ร.ศรร.ปศพพ. เป็นภาระใหม่ แต่มีความหมายใหม่ ต่างหาก ....อันนี้คือกุญแจสำคัญ
- ดังนั้น หลักสูตรการสอนและเทคนิคการสอน น่าจะเป็นเป้าหมายไหม?
- นักเรียนที่มีอุปนิสัยพอเพียงนั้นเป็น it เป็นสิ่งที่ออกมาจากโครงสร้างที่ดี จากจิตวิญญาณที่ดี
- ส่วนสำคัญคือ We ของครู บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน
- ในต่างประเทศ การอบรม สั่งสอนนักเรียน ไม่ใช่เรื่องของโรงเรียนหรือครูฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกสวนของชุมชน
- การเช็คสต๊อก ให้มองหาจุดเด่นของเราก่อน จุดที่เราภาคภูมิใจก่อน
- การดูด้านไหลออก สำคัญมาก ต้องปิดจุดรั่วก่อน
- จากนั้นก็พิจารณาว่าสิ่งใดที่จำเป็นต้องเติมให้ไหลเข้า หรือป้องกันไม่ให้ไหลเข้า
- Timline
- Design thinking
- Dialouge
- การคิด 3 มิติ
- หัวใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
- ระบบพลวัตร ซึ่งเป็นการควบคุมตัวแปรต่างๆ ให้ระบบเกิดความยั่งยืน
- อ.ไลลา ตั้งแต่มาวันแรกเลย สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ การทำ timeline และที่ได้มาทำ ทำให้เข้าใจเยอะขึ้น และถ้ากลับไปจะนำกลับไปทำ น่าจะได้ประโยชน์ ... เราไม่ต้องเขียนอะไรมาก กิจกรรม design thinking ก็ยังไม่เคยเจอ วิธีการที่จะทำให้คนคิดอยู่กับตนเองได้เป็นเรื่องยาก ที่นี่เป็นกิจกรรมที่น่าจะใช้ได้ ... และโมเดลต่างๆ ที่ได้เห็นก็น่าจะนำไปใช้ได้
- อ.วิไลวรรณ จากที่อบรมมา สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม คือ ได้รู้วิธีที่จะไปชักชวน เพื่อนครูให้ได้เรียนรู้ร่วมกันคือ การมองแบบ I We It ทำอย่างไรจะได้ It ที่มั่งคงยั่งยืนและมีคุณภาพ อีกอย่างคือได้เรียนรู้เรื่องจิต ได้ทบทวนตนเอง ได้มองย้อนหลังตัวเรา และทำให้เราได้มองไปข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป
- อ. วัดป่าเรไร รู้สึกว่าได้ประโยชน์มาก ในกิจกรรมบางอย่างไม่เคยเห็น ไม่ทราบ เช่น timeline ได้รู้ว่าทำอย่างไร อีกอย่างหนึ่งคือ design thinking เป็นกิจกรรมที่น่าจะนำไปใช้กับเด็กประถมได้ เป็นกิจกรรมที่ได้ประโยชน์มากๆ เลย ทำอย่างไรเด็กๆ ที่จบจากโรงเรียนของเรา จะได้ย้อนกลับมาเหมือน ครูสถาพร
- อ. หนองบัวแดง กิจกรรมทุกกิจกรรมได้ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ได้เปิดให้แชร์กัน ตอนแรกยังคิดอยู่ว่า ทำไมต้องจัดระบบการเรียนการสอนของ ปศพพ. ทำไมไม่จัดการเรียนการสอนโรงเรียนทั่วไป แต่พอมาร่วมกิจกรรมอบรมทำแผนฯ จึงได้เข้าใจ .... มาครั้งสมัครใจมา อยากมาเสริมความรู้ อยากรู้ว่าเขาจัดอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรบ้าง และวันนี้ได้เห็นแล้วว่าทำอย่างไร.... และเมื่อมาเห็นเด็กๆ อย่างครูสถาพร ยิ่งภูมิใจว่าเราจะทำได้แน่
- อ.สถาพร ปกติวันเสาร์อาทิตย์จะมีกิจกรรมกับนักเรียน ก่อนมาก็ได้เปิดก๊อกหมดเลย เหลือไว้เพียงสิ่งที่ทำ กิจกรรม timeline จะทำให้เราเข้าใจ ได้มองตนเอง .... สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง คือต้องเริ่มจากการมีสติก่อน .... และอีกสิ่งสำคัญคือ เครือข่ายความสัมพันธ์ผู้ปฏิบัติได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน อีกอย่างผมว่า ปศพพ. ต้องเริ่มต้นจากการที่ทำให้คนมีความเชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็จบตั้งแต่เริ่มต้น เช่น หาก ผอ. ถ้าไม่มีใครเชื่อก็จบ I เป็นสิ่งสำคัญ แล้วกระบวนการจะตามมา และจะเกิดผลลัพธ์ขึ้นมากเอง ...แต่ก่อนผมอยู่ที่ห้วยยอดมาก่อน พวกผมมี 12 คน ที่ใช้รูปแบบกระบวนการนี้มา จนมั่นใจว่าได้ผล ... ตอนนี้ทางมูลนิธิฯ (อ.ทรงพล) ส่งไปช่วยครูในโรงเรียน
- ศูนย์ประสานงานเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน จ.ตรัง เราแบ่งออกเป็น 4 ทีม แต่ละทีมทำงานต่างกัน เช่น ทีมหนึ่งเยาวชนฯ ทีมหนึ่งเรื่องการพัฒนาครู อีกทีมช่วยหญิงมีครรภ์ ฯลฯ
- อ.นงนุช ได้เรียนรู้มาก แต่จำนำไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น และจะติดตามงานของท่าน อ.ชัยวัฒน์ต่อไป
- ผอ.ธนิตา วัดป่าเรไรฯ กิจกรรมวันครึ่งที่ได้มาร่วม ทำให้ได้รู้ว่า เรามีสต็อกที่มีค่ามากแค่ไหน ต้องถือว่าเป็นผู้มีบุญ เพราะถ้าไม่มางานนี้ อาจจะเป็น 20 ศพ ศพที่ 20 ในรถประจำทาง ร้อยเอ็ด-กรุงเทพฯ ที่ไปคืนตั๋วมา
- อ.ชัยวัฒน์ ย้ำอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์มีค่าที่สุด ดังนั้น ถ้าท่านสามารถจัดกระบวนการสนทนาที่เป็น มนุษย์กับมนุษย์คุยกันได้ พี่คุยกับน้อง ความเมตตา กรุณาต่อกัน นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
สวัสดีครับ