วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา: อีสานตอนบน_50 : ตรวจเยี่ยมประเมินความพร้อม โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา อบจ.ชัยภูมิ

วันที่ 18 กันยายน 2556 ทีมขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานบน "ขน" ทีมงานไปโรงเรียนบ้านเป้าวิทยา ต.บ้านเป้า อ.เกษรสมบูรณ์ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรวจเยี่ยมเพื่อประเมินความพร้อมเพื่อรับการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ร.ร.ศรร.ปศพพ.)

โดยมีอาจารย์ศศินี ลิ้มพงษ์ และอาจารย์สุจินดา งามวุฒิพร ผู้จัดการโครงการฯ จากมูลนิธิสยามกัมมาจล และทีม ร.ร.ศรร.ปศพพ. พี่เลี้ยง โรงเรียนกัลยาณวัตร จ.ขอนแก่น ร่วมเป็นทีมประเมิน

ขอแนะนำสำหรับผู้สนใจ ข้อความเห็นและข้อเสนอแนะโดยละเอียดต่อการขับเคลื่อนของโรงเรียนบ้านเป้า ใหติดต่อ อาจารย์ฤทธิชัย อาจารย์แกนนำขับเคลื่อนโดยตรง Facebook ท่านอยู่ที่นี่ครับ  ต่อไปนี้เป็นข้อความเห็นของกระผมเอง ในฐานะผู้ประสานงานจากมหาวิทยาลัย

ท่านสามารถอ่านข้อความเห็นเมื่อครั้งตรวจเยี่ยมครั้งที่แล้วที่นี่ครับ 

จุดเด่นที่ต้องชื่นชม 

  • ความสะอาดเรียบร้อยของอาคารสถานที่ ห้องเรียน และบริเวณโรงเรียน (แม้จะบอกก่อนล่วงหน้า และต่อให้มีการเตรียมการไว้ แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะสอาดขนาดนั้นครับ) เมื่อซักถามถอดบทเรียน พบว่าปัจจัยของความสำเร็จ มีดังนี้ครับ 
    • นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการดูแลทำความสะอาด โดยมีการจัดแบ่งบริเวณให้แต่ละชั้นเรียนรับผิดชอบอย่างชัดเจน 
    • ใช้เวลาตอนเลิกเรียนตอนบ่าย (ก่อนเดินทางกลับบ้าน) ช่วยกันทำความสะอาด ทำให้เป็นไปอย่างพร้อมเพียงกัน ไม่มีมาช้ามาสายที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำน้อยทำมาก
    • มีกระบวนการตรวจสอบจากทั้งกรรมการนักเรียน และคณะครูที่รับผิดชอบโครงการ 5ส. ของโรงเรียน...
    • ไม่ประนีประนอมกับความไม่เรียบร้อย.... มีมาตรการให้นักเรียนที่ทำไม่เรียบร้อย มาซ่อมเสริมเพิ่มเติมอีกในตอนเช้า...  (ความจริงทราบว่า ตอนเช้าก็มีการทำความสะอาดอีกครั้งทุกบริเวณ)
    • ฯลฯ  (แม้จะเป็นข้อประทับใจเดิมที่ผมเคยเขียนไว้ แต่ก็อยากให้รู้ว่านี่เป็นวิธีที่ได้ผล เผื่อว่าจะมีคนอ่านนำไปปฏิบัติบ้างครับ)
  • ความมีระเบียบวินัยของนักเรียน อันนี้ก็เขียนไว้ตั้งแต่ครั้งที่แล้วเหมือนกันครับ ยังรักษาความดีไว้ได้ดีครับ 
  • มีการนำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาใช้กันอย่างจริงจังแล้ว แม้จะเห็นเริ่มเฉพาะครูแกนนำไม่หลายคนนัก แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความตระหนักในการเปิดโอกาสให้นักเรียน "ฝึกคิด" "ฝึกทำ" และ "ทำงานเป็นทีม"  อ่านข้อความเห็นเรื่อง "ครูฝึกกก" ที่นี่ครับ 

 
ข้อความเห็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ของครูและโรงเรียน
  • แหล่งเรียนรู้แรกคือห้องสมุดของโรงเรียน สะอาด เรียบร้อยมาก สิ่งที่โดดเด่นคือการจัดหนังสือ สื่อความรู้เกี่ยวกับเรื่อง "พอเพียง" เป็นหมวดหมู่ชัดเจน และมีจำนวนมาก... หากมีการกระบวนการส่งเสริมการอ่าน "หลักการทรงงาน" ต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะนักเรียนแกนนำทุกคน แล้วนำมาตีความ ถกถอดสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนั้นๆ ....จากการสอบถาม ท่านอาจารย์ที่รับผิดชอบสะท้อนว่า อยากให้เด็กๆ มาอ่านมากขึ้น.... มีหลากหลายวิธีที่แนะนำครับ เช่น 
    • กำหนดให้เป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติม สำหรับรายวิชาสังคมหรือภาษาไทย 
    • จัดให้มีการโต้วาที "หลักการทรงงาน" และ "ปศพพ." ใน "วง" นักเรียนแกนนำ 
    • จัดให้มีการยืมหนังสือในหมวดดังกล่าวได้ง่าย สะดวก และกำหนดให้มีชั่วโมงอ่านหนังสือให้ชัดเจน 
    • ฯลฯ 


  • ผลงานจากฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์โครงงานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น...เป็นโครงงานประดิษฐ์ ที่พยามยามนำ "คณิต" ไปใช้อธิบายว่า ลำดับลายของผ้าไทย กระโด้งไม้ไผ่ กระติ๊บข้าวเหนียว ประเป๋าถือ หรือเครื่องจักสาน สามารถที่จะอ่านผ่านสมการคณิตศาสตร์ได้ โดยใช้ความรู้ "คณิต" เรื่อง การแปลงสลับเลขฐาน 2 ฐาน 3 ไปเป็นฐานสิบ... จากการฟังการนำเสนอ เข้าใจขั้นตอนดังนี้ครับ
    • สังเกตรูปลักษณะลาย ว่ามีกี่สี หากมี 2 สี  จะอธิบายด้วยเลขฐาน 2 หากมี 3 สี จะอธิบายด้วยเลขฐาน 3 เป็นต้น 
    • นำกระดาษมาตัดเป็นเหมือน "ตอกไม้ไผ่" นำมาจักสานเลียนแบบ สมมติมี 2 สี จะแทนที่ด้วยเลขฐาน 2 คือ เลข 0 กับ เลข 1 แทนการจัดสานให้อยู่ด้านล่างและบนตามลำดับ 
    • เมื่อทำตามลายเสร็จ จะได้เลขฐาน 2 มาชุดใหญ่ แปลงให้เป็นฐาน 10.... (เข้าใจว่า น่าจะฝึกการแปลงเพื่อใช้ "คณิต" คิดเฉยๆ ...หากผิดอธิบายด้วยครับ)
    • จากนั้นทดลองออกแบบลายต่างๆ ด้วยตนเอง ด้วยการจักสานงาน "ตอกกระดาษ" เมื่อได้แบบแล้วก็ฝึกแปลงเลขฐาน... และนำ "ต้นแบบ" ไปสื่อสารให้ชาวบ้านทดลองทำตาม  จนได้ลวดลายต่างๆ ตามรูป 
    • เมื่อเป็นแบบที่เข้าใจนี้ แสดงว่า โครงงานนี้ไม่ได้นำคณิตศาสตร์ไปช่วยออกแบบโดยตรง  แต่เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนสนใจภูมิปัญญาและหัตถกรรมพื้นบ้าน ผ่านการเรียนรูู้คณิตศาสตร์เรื่องการแปลงเลขฐาน ....  
    • ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำจากผมครับ..
      • แนะนำให้นักเรียนสืบค้นหา ความเชื่อมโยงระหว่างสมการคณิตศาสตร์กับลายต่างๆ ในธรรมชาติจริงๆ  .... ฝากให้เขาไปศึกษาเรื่อง "Chaos equation"
      • แนะนำให้หาความเชื่อมโยงระหว่างสมการคณิตศาสตร์กับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์  ... ทำคนอินเดียถึงเก่งเรื่อง Softwares ที่สุด เพราะพวกเขาเก่งคณิตศาสตร์ที่สุดนั่นเอง  ใครเก่งคณิตจะคิดเขียนโปรแกรมคอมเก่งด้วย ....  
      • แนะนำให้คุณครู ตั้งโจทย์โครงงานเรื่อง "สมการกับธรรมชาติ" .... เพื่อฝึกให้พวกเขาได้เรียนรู้ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นนำเสนอเอง......   (อันนี้แนะนำวันนี้ครับ)
    • สำหรับข้อแนะนำเรื่องการนำเสนอของนักเรียนนั้น ไม่มีครับ ขอชมเชยว่า เตรียมตัวดีมาก... ถ้าเป็นเรื่องที่พวกเขาเริ่มคิดทำและนำเสนอเองล่ะก็ครับ จะเป็นธรรมชาติและเปี่ยมความสุขกว่านี้แน่ครับ 
  • ห้องแห่งความสำเร็จและเกมปลูกฝังการแบ่งปัน.. (Give and Take)..วันนั้น (18 กันยาฯ) ได้มีโอกาสเล่านเกม "พอเพียง" ของมูลนิธิสยามกัมมาจล .... เล่านกันได้หลายคน... เป็นเกมสร้างสถานการณ์เหมือนที่จะเกิดได้ในชีวิตจริงๆ  อาจเล่นเป็นทีมแล้วปรึกษากัน ...(อ่านต่อเรื่องเกมที่นี่
    • สังเกตว่าทุกหน้าต่าง จะมีผลการถอดบทเรียนความสำเร็จลงแผ่นฟริปชาร์ท การได้ฝึกคิดพิจารณาว่า "ทำไมถึงสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ" นั้น เป็น "เคล็ดที่ไม่ลับ" แต่เราไม่ค่อยทำกัน 
    •  ขอชมเชยและชื่นชมครับ นักเรียนทุกคนเล่นเก่งถึงขั้นสอนได้ ... ผมแนะนำว่า นักเรียนจะต้องฝึกออกแบบเกม หรือออกแบบสถานการณ์ที่สอนคล้องกับบริบทของเราเองบ้าง .... 
  • แหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ก็ยังคง "ไม่พลาด" เรื่องน้ำยาล้างจาน ไปที่โรงเรียนไหน หายากยิ่งนักที่จะไม่พบว่า นักเรียนนำมาเสนอเป็นโครงงาน ....  ผมแนะนำว่าให้ลองใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ 8ส. เน้นปัญหาบูรณาการชีวิต ที่ต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้ (ลองอ่านที่นี่ครับ)
  • ส่วนฐานการเรียนรู้เรื่องอาเซียนและมรดกโลกนั้น ผมคิดว่าจะเพิ่งทำกันไม่นาน นักเรียนยังไม่ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้และถอดบทเรียนกันมากนัก เหมือนว่าผู้บริหารจะคิดว่าสามารถเตรียมนักเรียนนำเสนอให้ผ่านได้ ...แต่ไม่ใช่การประเมินเป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ. แน่นอนครับ 
ขอเป็นกำลังใจครับ
โทรศัพท์มาคุยได้ที่ 0815499870  ครับ
อ.ต๋อย

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนรู้ "หลักการทรงงาน" จากทีวี ที่โรงแรมดีพร้อม ชัยภูมิ

วันนี้ได้มาพักที่โรงเรียนดีพร้อม ที่ตัวเมืองจังหวัดชัยภูมิ  ทีวีช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ นำเทปบันทึกการกล่าวบรรยายเรื่อง "หลักการทรงงาน" ของ ศ.นพ.เกษฒ วัฒนชัย มาออนแอร์   ประเด็นต่อไปนี้ผมพยายามพิมพ์ตามทีท่านพูด.... อาจมีประโยชน์บ้างสำหรับผู้อ่านครับ
  • ภูมิสังคม  คือนึกถึงภูมิประเทศ นิสัยใจคอ ของคนที่สถานที่นั้น 
  • ทำให้ง่าย แบบฟอร์มอะไรที่ไม่จำเป็น ก็ฉีกทิ้งบ้าง ขั้นตอนไหนไม่จำเป็นก็ยกเลิกบ้าง เหลือไว้เฉพาะที่่สำคัญ ให้ง่าย มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล  ภาษิตจีนบอกว่า "ชีวิตที่รีบง่าย จึงจะทำเรื่องใหญ่ได้"  พระพุทธเจ้า  ไอน์สไตน์ มหาตมคานที .... ทรงโปรดให้ทำสิ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย....  ผู้บริหารต้องทำสิ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย ....อาจารย์ต้องทำสิ่งที่เข้าใจยาก ให้เข้าใจง่าย.... ครั้งหนึ่งมีสำนักข่าวฝรั่งเศสมาถามท่านว่า ท่านมีหลักการทำงานอย่างไร ...ท่านตอบว่า ...Simplify....อดทนมุ่งมั่น  ไม่ว่าจะมีสุข ทุกข์ ต้องอดทน ไม่ตื่นเต้น หากเกิดปัญหาให้กระโดดเข้าใส่ปัญหา อย่างกลัวปัญหา 
  • กาแฟต้นเดียว.... แต่ก่อนเขาปลูกฝิ่น ท่านทรงแนะนำให้เขามาปลูกกาแฟ แต่กาแฟที่ปลูกตายหมด เหลือเพียงต้นเดียว ท่านทรงให้กำลังใจ เสด็จเข้าไปเยี่ยมแม้จะเหลือกาแฟเพียงต้นเดียว... ปีต่อมา ชาวเขาเหล่านั้นมีรายได้จากการขายกาแฟมากกว่าการปลูกฝิ่นขายเสียอีก ..
  • อ่อนน้อม ถ่อมตน ประหยัด  ... หม่อมหลวงปนัดดา อ่อนน้อมถ่อมตน ... เช่นนาฬิกาไม่จำเป็นต้องราคาแพง เพียงแต่สำคัญว่าบอกเวลา  .... ทรงอ่อนน้อมมาก ทุกครั้งที่เข้าหาพสกนิกรจะทรงอ่อนน้อมตัวลงอย่างถ่อมพระกาย...ทรงประหยัด
  • ใช้ธรรมชาติ ... ประยุกต์ใช้สิื่ง
  • คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม  คิดให้ดีให้ลึกซึ้ง  คำนึงถึงส่วนรวม และต้องช่วยเหลือคนส่วนน้อยที่เสียสละอย่างเด็มที่ 
  • รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย...ทุกครั้งที่ทรงงานกับชาวบ้าน ทรงทำประชาพิจารณ์แบบเรียบง่าย... ทรงอธิบายเหตุผล แล้วทรงถามความสมัครใจ แล้วให้ตกลงกันระหว่างที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ 
  • เข้าใจความต้องการของประชาชน 
  • เราจะช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป ..... โครงการหลวงปี 2512  ท่านทรงมอบหลักทรงงานให้ชาวเขา  4 ข้อคือ เร็วๆ เข้า ลดขั้นตอน ช่วยเขาให้ช่วยตนเอง และปิดทองหลังพระ
  • ระเบิดจากข้างใน   หมายถึง การทำสิ่งใดต้องสร้างฐาน สร้างความเข้มเข็งที่เราพัฒนาก่อน ให้เขาเข้มแข็งก่อน  ไม่ใช่นำเข้า...
  • พึ่งตนเอง  ...พึงตนเองด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ  หมายถึง ..ยืนบนขาตนเอง ไม่ต้องยืมขาคนอื่นมาเดิน
  • เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน..
  • ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง...
  • ปลูกป่าในใจคน .... ทำอะไรต้องเห็นคุณค่า
  • ประหยัด เรียบง่าย ประโยชน์สูงสุด .... Input Process Output
  • รู้ รัก สามัคคี  รอบรู้เรื่องงานของตน  รักงาน  
  • เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ....  เข้าใจ เข้าถึง เป็น two-ways คือเข้าใจและเข้าถึงกันและกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับ เราเข้าใจเขาและทำให้เขาเข้าใจเราด้วย เราเข้าถึงเขาแล้ว ทำอย่างไรให้เขาเข้าถึงเราด้วย เมื่อเข้าใจ เข้าถึงกันแล้วก็จะพัฒนาได้
  • ทำงานด้วยความสุข...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขร่วมกันที่ได้จากการทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
รายละเอียดทั้งหมด สดับรับชมได้ที่นี่ครับ


วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

FBL (Family-based Learning) ณ ชุมชนห้วยค้อมิตรภาพ ๒๐๖ ขอนแก่น

วันที่ 21 กรกฎาคม 2556 ผมมีโอกาสได้นอนพักในห้องเดียวกับ อ.ศุภมิต จาก โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ อ.พล จ.ขอนแก่น  ในขณะที่เราเดินทางมาร่วมกิจกรรมของมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผมตั้งคำถามว่า กับ อ.สนิต เพื่อนร่วมห้องนอนค้างด้วยกัน ว่า ห้วยค้อทำอย่างไรถึงได้เป็น ร.ร.ศรร.ปศพพ.  แล้วนั่งฟัง จับประเด็นได้ดังนี้ครับ

  • แต่ก่อนโน้น (ประมาณปี 2548) มูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย เข้ามาให้การสนับสนุนในโครงการ "ครอบครัวสาธิตชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" เริ่มที่กลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัวของนักเรียนตั้งแต่ ป.1 - ม.3 ที่มีปัญหา 30 ครอบครัว บางครอบครัวจะมีพี่น้องหลายคน ส่วนใหญ่จะมีปัญหาพ่อแม่หย่าร้าง พ่อแม่เสียชีวิต จึงต้องอาศัยอยู่กับยาย (คิดเป็นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด)  โดยมูลนิธิจะให้พันธุ์ปลาดุกครอบครัวละ 500 ตัว แม่ไก่พร้อมไข่ครอบครัวละ 5 ตัว และพันธุ์ผักต่างๆ และส่วนหนึ่งสนับสนุนบ่อกลางของโรงเรียนเพื่อเป็นอาหารกลางวันของนักเรียน คิดเป็นมูลค่าเพียง 30,000 บาท และแบ่งพื้นที่โรงเรียนออกเป็นส่วนเล็กๆ ให้แต่ครอบครัวดูแล  โครงการนี้ทำให้นักเรียนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีไข่ มีปลา และมีผักกินโดยไม่ต้องซื้อ และมีส่วนเหลือเอาไปขาย ทำให้เกิดอานิสงส์ทำให้ผู้ปกครองพอใจมาก โดยเฉพาะผู้ปกครองส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีที่ทำกิน ต้องทำอาชีพรับจ้าง ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมนี้ ทำให้ชาวบ้านดูแลใส่ใจ จนทำให้เกิดความต่อเนื่อง จนทำให้นักเรียนเกิดทักษะในการดำรงชีวิตแบบ พึ่งตนเอง 
  • ประมาณปี 2549 ผู้อำนวยการขณะนั้น มีความเห็นว่า บ่อปลาและเล้าไก่ที่เรียงรายอยู่ในบริเวณโรงเรียนนั้นทำให้ภูมิทัศน์สวยงาม และให้เหตุผลว่าบ่อน้ำนั้นไม่ปลอดภัยกับนักเรียน (ก่อนหน้านั้นไม่มีเด็กได้รับอันตรายใดๆ) จึงส้่งให้ถมดินเพื่อปลูกไม้ยืนต้น เหลือไว้เพียงบ่อกลางของโรงเรียน ในขณะที่โครงการ "ออยสการ์" ซึ่งได้รับความร่วมมือจากญุี่ปุ่น เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกป่า โดยนำพันธุ์ไม้ยืนต้น เช่น ประดู ยูคาร์ ฯลฯ และสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมร่วมกันระหว่างครอบครัว จึงเกิดโครงการ "แม่ลูกผูกพันร่วมกันทำนา" โดยจัดให้มีกิจกรรมดำนาร่วมกันในตอนบ่ายของวันแม่ หลังจากที่เสร็จพิธีไหว้แม่ในตอนเช้า และจัดกิจกรรม "ดำวันแม่-เกี่ยววันพ่อ" เพื่อร่วมกันเก็บเกี่ยวข้าว นอกจากกิจกรรมนี้จะทำให้โรงเรียนได้ข้าวสำหรับโครงการอาหารกลางวันแล้ว ยังส่งผลให้เด็กๆ เกิดความผูกพันกับครอบครัวมากขึ้น  ถัดจากนาข้าว อ.เบญจมาศ (ครูแกนนำ) ยังพาเด็กปลูกดอกทานตะวัน วัตถุประสงค์สำคัญคือ ฝึกทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็ก นับแต่นั้น การปลูกข้าวและดอกทานตะวันกลายเป็น "ฐานการเรียนรู้" สำคัญของห้วยค้อฯ
  • ต้นปี 2550 ชาวบ้านไม่พอใจที่ ผอ.โรงเรียน กลบบ่อปลาและที่ดินทำกินที่แบ่งให้แต่ละครอบครัว กรรมการสถานศึกษาได้มาคุยกับทางโรงเรียน ได้ข้อสรุปให้ ผอ.ย้ายไปโรงเรียนใหม่ เป็นโอกาสให้ ผอ.สวัสดิ์ มะลาหอม ได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อน ปศพพ. จนต่อมาได้กลายเป็น ร.ร.ศรร. ปศพพ. ในปี 2555
  • ปี 2551 หลังจากเปลี่ยนผู้อำนวยการ โครงการยุวเกษตร ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือ สปก. เข้ามาให้การสนับสนุนพันธุ์ปลาและอาหารเลี้ยงปลา 5,000 ตัว ให้พันธุ์ผักพันธุ์ผัก ส่งเสริมการปลูกผักในโรงเรียน 

 ตอนเช้าของวันที่ 22 ก.ค. ครูเบญจมาศ (ครูต้อย) ถือกระดาษ 6 แผ่น มาให้ผม บอกว่าเป็นการบ้านที่คุยกันเมื่อวาน ที่ผมเองก็พูดผ่านๆ ไม่คิดว่าท่านจะเขียน "เรื่องเล่า" มาให้ผมจริง ....  จึงถือโอกาสนำมาบันทึกไว้ที่นี่ครับ 

....โครงการ "ครอบครัวสาธิต" ชีววิถีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ เกิดขึ้นเพราะข้าพเจ้าเห็นสภาพปัญหาความยากจนของนักเรียน รู้สึกสงสารเด็กๆ ที่ต้องขาดเรียนไปรับจ้างทำงานช่วยผู้ปกครอง หลังจากปรึกษาหารือกัน จึงดำเนินการขอทุนสนับสนุนและได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิศุภนิมิตร แห่งประเทศไทย เป็นพันธุ์ปลา แม่ไก่ไข่ และพันธุ์ผัก  โดยแบ่งพื้นที่ให้ครอบครัวละ 10x12 ตารางเมตร (ดังที่กล่าวไปแล้ว) แนวคิดคือ ให้ครอบครัวของนักเรียนมีส่วนร่วม และบริหารจัดการเป็นครอบครัว สิ่งที่ได้น้ำไปกินใช้ในครอบครัว ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ปกครองพอใจมาก เมื่อท้องอิ่ม สมองก็เจริญเติบโต ทำให้ผู้ปกครองภาคภูมิใจในบุตร-หลานของตนเอง ส่งผลให้ผู้ปกครองและโรงเรียนมีความผูกพันกัน เกิดจิตสำนึกที่ดีต่อโรงเรียน พึ่งพาอาศัยกัน ปลูกฝังความรับผิดชอบและการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างดียิ่งขึ้น....

....โครงการปลูกป่าลำน้ำห้วยค้อเขียวขจี ที่ได้รับงบได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ OILSCA ประเทศญี่ปุ่น ให้พันธุ์ไม้ต่างๆ  กอปรกับตอนนั้นกำลังดำเนินโครงการ ครอบครัวสุขสันต์ จึงได้จัดกิจกรรมให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองช่วยกันปลูกป่า ปลูกกล้วย ในวันวิสาฆบูชา.... เมื่อกล้วยให้ผลผลิต ก็นำมากินด้วยกัน แบ่งปันกัน เมื่อต้นไม้เติบโตขึ้นก็จะเป็นสมบัติของส่วนรวม  โดยครูทุกคน ผู้ปกครอง และนักเรียนได้ร่วมกันดูแลรักษาร่วมกัน...

... กิจกรรมครอบครัวสุขสันต์ร่วมกันดำนา ซึ่งจัดขึ้นในวันแม่ของทุกๆ ปี   หลังจากการรำลึกถึงคุณแม่ ไหว้แม่ในตอนเช้า  กินข้าวร่วมกันในตอนเที่ยง จะมาช่วยกันดำนา (หน้าโรงเรียน) ผลผลิตนำเข้าโรงครัวของโรงเรียน ทำนาด้วยกัน กินด้วยกัน ทุกคนมีส่วนร่วมและมีความสุขร่วมกัน...

...ในการเรียนการสอน ครูทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน PDCA ในกิจกรรม ครูให้ความรักนักเรียนเหมือนลูกหลาน ใช้คติร่วมกันว่า "สอนลูกตนเองอย่างไร ต้องสอนลูกคืนอื่นอย่างน้้น ลูกคนอื่นมาอยู่กับเรา ก็เหมือนลูกของเรา" ... จนในบางครั้งรู้สึกว่า เด็กๆ มาอยู่กับเรามากกว่าอยู่กับพ่อแม่เสียด้วยซ้ำไป... เมื่อเด็กๆ รักครู ครูรักเด็ก ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่คือบ้านหลังใหญ่ที่สุด ที่จะต้องดูแลร่วมกัน... เช่น 
  • กิจกรรมทำดูแลรักษาความสะอาดร่วมกัน แต่ละหมู่บ้าน แต่ละครอบครัว มีบริเวณรับผิดชอบร่วมกัน โดยที่ครูไม่ต้องควบคุมดูแล... 
  • กิจกรรมไปกลับปลอดภัย ให้พี่น้องแต่ละครอบครัวดูแลมารับส่งกัน โดยจะมีกิจกรรมเข้าแถวก่อนกลับบ้านทุกวัน  ให้พี่รับน้องกลับบ้าน กลับพร้อมกันทั้งครอบครัว
  • กิจกรรมหน้าเสาธง ให้มีการแบ่งภาระรับผิดชอบร่วมกัน หลังเคารพธงชาติ เป็นกิจกรรม "จิตศึกษา" โดยแต่ละระดับชั้นจะมีผู้นำในการทำกิจกรรม 
  • กิจกรรมเวรประจำในการเตรียมอาหารให้พอเพียงกับทุกคน ทุกคนรับประทานอาหารพร้อมกัน ทานข้าวหม้อเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน จึงรักกัน หลังรับประทานอาหารก็ช่วยกันล้างจานชามภาชนะ  มีเวรประจำผลัดกันทำความสะอาด
  • กิจกรรมแปรงฟัน ให้พี่ ม.1- ม.3 ตรวจสอบความสะอาดเรียบร้อยให้น้อง ป.1-ป.6 ทุกวัน
...กิจกรรมค่ายครอบครัวลูกเสือพอเพียงร้อยเรียงสู่อาเซียน  บูรณาการระหว่างค่ายลูกเสือและค่ายส่งเสริมภาษาอังกฤษ โดยให้ทุกฝ่ายได้เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งครู ตัวแทนนักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง ตั้งแต่มีส่วนในการวางแผน ร่วมเตรียมงาน และร่วมในวันงาน  ขั้นตอนหลักของค่าย มีดังนี้ 
    • ปลูกผักเอง วางแผนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการปลูกผัก โดยประมาณเวลาให้พอดีกับวันจัดค่าย "เมื่อผักโต เราจัดค่าย"
    • นอกจากกิจกรรมเดินทางไกล กิจกรรมรอบกองไฟ และฐานผจญภัยต่างๆ แล้ว ได้จัดให้มีงานวิชาการ ภาษาอังกฤษ ในลักษณะเป็น ฐานการเรียนรู้ในค่าย
    • แบ่งลูกเสือคละชั้น แต่ละกลุ่มมีพี่ ม.3 น้อง ม.1-2 ป.1-6  จัดให้มีภารกิจร่วมกัน ให้จัดเตรียมภาชนะเองในการรับประทานเนื้อย่างเกาหลีร่วมกัน เรียกว่า "อาหารคุณธรรม"  
    • ให้พี่สอนน้องทำเนื้อย่าง  ให้น้องกินให้อิ่มก่อน พี่ค่อยกินทีหลังพร้อมกับผู้ปกครอง
    • มากินกันทั้งหมู่บ้าน แต่ละครอบครัวรับลูก ป.1-3 กลับบ้านหลังเลิกกิจกรรมรอบกองไฟ
    • ให้นักเรียนได้ "ถอดบทเรียนร่วมกัน" พบว่าผู้ปกครองพึงพอใจมาก 
...กิจกรรม "ห้วยค้อโรงเรียนที่ฉันรัก" เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกการรักษาสิ่งแวดล้อม และปลูกฝังให้รักโรงเรียนและชุมชนของตนเอง โดยจัดให้ครอบครัวเดียวกันและบ้านใกล้กันรับผิดชอบบริเวณเดียวกัน กวาดใบไม้มากองรวมกันก่อนนำไปทำปุ๋ยหมักใส่ต้นไม้ เรียกว่า "เศรษฐีใบไม้"

...กิจกรรม  "ดอกทานตะวันบานที่บ้านห้วยค้อ"  หลังจากเก็บเกี่ยวข้าว ทุกคนจะได้ปลูกดอกทานตะวัน ดูแลรักษา นำไร่ทานตะวันไปบูรณาการกับการเรียนการสอนในลักษณะฐานการเรียนรู้บูรณาการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 

 ท่านผู้อ่านบันทึกนี้ คงเห็น "ข้อความสี" ความหมายและความนัยของกิจกรรม "ฐานใจ" ทั้งหมดนั้น ทักทอสายใยรักของครอบครัว ทำให้โรงเรียนให้เป็น บ้านหลังใหญ่ นี่คือปัจจัยของความสำเร็จของ ผอ.และครูโรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖  ผมขออนุญาตเรียก รูปแบบการเรียนรู้โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแบบนี้ว่า "การเรียนรู้ฐานครอบครัว" หรือ Family-based Learning หรือย่อเป็น FBL


(ตอนนี้ห้วยค้อฯ กำลังเขียนเรื่องเล่า หนังสือเล่มเล็ก อีกไม่นานเกินรอครับ)

การขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษา: อีสานตอนบน_45 : เวที ผอ.+ รองวิชาการ ลลปรร. "มองตนเอง มองครู เรียนรู้จากพี่เลี้ยง"

วันที่ 17-18 กรกฎาคม 2556  ทีมขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานตอนบน จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร.) การขับเคลื่อน ปศพพ.พศ. (ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการศึกษา)  บันทึกนี้เขียนต่อจากบันทึกแรก อ่านได้ที่นี่ครับ 

ถอดบทเรียนตนเอง "คิดแบบอ่างน้ำ" 
หลังเบรคเช้า เรากลับมาทำกิจกรรม "มองเพื่อนครู" ด้วยวิธีการคิดเชิงระบบ "คิดแบบอ่างน้ำ"  (ผมเรียนรู้มาจาก อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ อ่านได้ที่นี่ครับ)... แต่ไม่ได้นำ การ "คิดแบบอ่างน้ำ" มาใช้ตรงๆ แต่นำมา "พาคิด" ให้ครูได้ "ฝึกคิดแบบอ่างน้ำ" โดยใช้กิจกรรม "กระดาษ 4 พับ จับจุด" ดังนี้ครับ 




  • พับกระดาษออกเป็น 4 คอลัมน์ 3 แถว แล้วให้ทุกคนคิดและเขียน ตาม "คำถาม" ดังนี้ 
    • เริ่มจากชวนให้ทุกท่านจินตนาการถึง "หน้าของครู" ที่โรงเรียนของตนเองทีละคนๆ  จินตนาการให้เห็นภาพ (กระบวนกรต้องไม่เร่งรีบ ค่อยๆ นำให้ทุกคนจินตนาการเห็นภาพจริงๆ) สังเกตความรู้สึกของตนเองเมื่อเห็นมโนภาพของครูแต่ละคนๆ
    • แล้วให้ครูลองทดลองแบ่งหมวดหมู่ครูออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ครูที่ "ไม่เข้าใจ แต่ไม่ทำ"  "ไม่เข้าใจ แต่ยังช่วยทำ" และ "ทั้งเข้าใจ และลงมือทำ"  แล้วเติมชื่อ (ในกรณีที่ไม่อยากเปิดเผยให้ใส่เป็นสัญลักษณ์ รหัส หรือตัวย่อได้) ยองครูแต่ละประเภทลงในแต่ละแถว ในคอลัมน์ที่ 2 ดังรูปด้านบน
    • คอลัมน์ที่ 3 ให้เติมพฤติกรรมของครูในแต่ละแถว 
    • กลับมา คอลัมน์ที่ 1 ให้เขียนถึง สาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ครูในคอลัมน์ที่ 2 มีพฤติกรรมตามคอลัมน์ที่ 3
    • (เช่นเดิมครับ) คอลัมน์ที่ 4 เป็นหน้าที่ของเพื่อนๆ กัลยาณมิตร  โดยยึ่นไปข้างๆ รอบๆ ให้เพื่อนคิดและเขียน ถึง แนวทางการ "ดำเนินการ" เพื่อให้ดีขึ้น สิ่งที่ดีอยู่แล้วก็ให้ดีขึ้นยิ่งไปอีก 
  • ความจริง "กระดาษสี่พับ จับจุด" มีเป้าประสงค์สำคัญคือ ช่วยกันสำรวจว่า ใครคือครูแกนนำ (เข้าใจ และทำ) ใครคือครูกลุ่มเป้าหมายที่ต้องขยายผล (ไม่เข้าใจแต่ช่วยทำ) และใครคือครูที่ไม่เข้าใจและไม่ทำ (ถ้าเข้าใจจริงต้องทำแน่ ที่ไม่ทำเพราะไม่เข้าใจ) กลุ่มสุดท้ายยิ่งต้องหาวิธีการจำเพาะ ไม่ควรทอดทิ้ง.....แต่กลับต้องใช้ความจริงใจและให้โอกาส 

  • เราพับเก็บ "กระดาษ 4 พับ" ไว้ชั่วคราว แล้วทำกิจกรรม "ผู้นำสี่ทิศ" หรือ "สัตว์สี่ทิศ" อ่านรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมที่นี่ครับ 
  • ภาคบ่าย เน้นการ "แลกเปลี่ยนเรียนรู้" และ "ปรึกษาหารือ" ระหว่างโรงเรียน "พี่เลี้ยง" และโรงเรียนในความดูแลของพี่เลี้ยง  โดยการแบ่งกลุ่มแยกโรงเรียน ศรร.ปศพพ. คือ "พี่เลี้ยงแยกกัน"  และมุ่งให้ได้แลกเปลี่ยน แบ่งปัน กันกับโรงเรียนในเครือข่ายของตนเอง 




  • BAR ของกิจกรรม ลปรร. กลุ่มตอนบ่ายนี้ ที่สำคัญคือ นำสิ่งที่ได้ทำดำเนินมาตั้งแต่ตอนภาคเช้า 3 อย่างมา เป็นเครื่องมือในการคิดพิจารณาร่วมกัน อันได้แก่ รูปแบบการขับเคลื่อนของโรงเรียนที่เตรียมมาจากบ้าน การสำรวจ "สต็อก" ครูว่า ที่มีอยู่เป็นลักษณะใดกลุ่มใดใครบ้าง และการพิจารณาคุณลักษณะนิสัยของทั้งตนเองและของโครงด้วยกิจกรรมสัตว์สี่ทิศ.... แต่เท่าที่ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแลกเปลี่ยน กิจกรรมสัตว์สี่ทิศยังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาคิดร่วมด้วย อาจเป็นเพราะตอนภาคเช้าเร่งกิจกรรม "แน่นเกิน"  แต่ที่ดีมากๆ คือ การแลกเปลี่ยนกันอย่างไรไร้รูปแบบ ภาษาพื้นถิ่นเราเรียกว่า "โสเหล่" เอาสิ่งที่ทำแล้วเป็นปัญหามาว่ากันจริงๆ ...สำหรับกระบวนกรแล้ว นั่นคือสิ่งที่ดีครับ 
  • ผมสังเกตว่า มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันมาก  คือเราชอบและมักคุยกัน "ปากเปล่า" เราชอบสนทนาเล่าเรื่อง แต่เราไม่ค่อย "เขียนเรื่อง" ให้คนอ่าน ... ความจริงคือเรายังไม่ชอบอ่าน....สิ่งนี้ไม่ใช่งานเล็ก เป็นงานปฏิรูปประเทศทีเดียวครับ....ทำให้เด็กไทยรักการอ่าน ..
(มีต่อบันทึกต่อไปครับ)