วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

CADL ขับเคลื่อน ปศพพ. ใน มมส. _ ๖: คณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

วันนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๖๐) เป็นวันแห่งความสุขอีกวันหนึ่งสำหรับผม มีการประชุมกันเป็นครั้งที่ ๒ ของคณะกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในมหาวิทาลัยมหาสารคาม (คณะกรรมการดาวน์โหลดคำสั่งได้จากที่นี่)  ครั้งแรกเราประชุมกันเพื่อระดมสมองกันว่า เราจะขับเคลื่อน ปศพพ. ในมหาวิทยาลัยอย่างไร? ประชุมครั้งนี้เราเอาแผนที่ร่างขึ้นมาพิจารณากัน บันทึกต่อไปจะเอาแผนมากางไว้เป็นหลักฐาน และเพื่อเป็นการประจานตนเองด้วยหากทำไม้ได้ตามแผน

ผมเสนอที่ประชุมว่า ในปัจจุบัน ความรู้ควมเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนิสิต บุคลากร หรือประชาชนบุคคลทั่วไป แตกต่างกันไปตามลักษณะของการับรู้หรือการน้อมนำไปใช้ในแต่ละวาระและโอกาสของแต่ละคน ทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของแต่ละกลุ่ม ดังจะแยกเป็น ๕ ประเด็น ได้แก่

๑)  เข้าใจว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของการเกษตรเท่านั้น เมื่อมีผู้ถามถึงความหมายของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะบอกว่าเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามหลักการ “เกษตรทฤษฎีใหม่” และเน้นเป้าหมายคือ การพออยู่พอกิน ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยมักเข้าใจในลักษณะนี้ เนื่องจากการถ่ายทอดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของภาคเอกชน ผ่านสื่อโทรทัศน์ที่ผ่านมาในช่วง ๒๐ ปีนั้น เน้นไปทางด้านนี้เกือบทั้งหมด

๒)  เข้าใจว่าเป็นเรื่องทางด้านวัตถุหรือเศรษฐกิจเท่านั้น เมื่อมีผู้ถามถึงความหมายของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายอย่างประหยัด มัธยัสถ์ การออม และการแบ่งปันทรัพย์สิน เน้นไปทางด้านการใช้วัสดุที่ท้องถิ่นที่มีอยู่ การพอเพียงในทรัพย์สินที่มีอยู่ คือเรียกว่า เข้าใจในระดับวัตถุ

๓)  เข้าใจว่าเป็นเรื่องความศรัทธาต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ ๙ ยกย่องในหลวงเป็นพ่อของแผ่นดิน ให้ความเคารพบูชาในคุณความดีและความเสียสละของพระองค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้ คนไทยทุกคนจึงควรศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติในฐานะที่เป็นลูกของพ่อ ความจงรักภักดีและศรัทธาอันสูงยิ่งนี้ ทำให้คนไทยอยู่รอดมาตราบจนปัจจุบัน ดังนั้น ความเข้าใจแบบนี้เป็นเรื่องที่ดียิ่ง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยเห็นความสำคัญ เริ่มศึกษาน้อมนำมาพัฒนาตนเอง จนเห็นผลประจักษ์เข้าใจแก่นแท้ด้วยตนเอง ทำให้ยิ่งทวีความรักในพระองค์ท่านมากขึ้น

๔)  เข้าใจว่าเป็นเรื่องทฤษฎี ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ  คือ ห่วงพอประมาณ ห่วงเหตุผล ห่วงภูมิคุ้มกัน เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม มิติวัตถุ/เศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และมิติวัฒนธรรม คือเข้าใจตามทฤษฎีที่เผยแพร่จากรัฐบาลที่หวังจะใหประชาชนเข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงตีความรูปแบบดังกล่าวขึ้น ปัญหาที่พบมากสำหรับผู้ที่เข้าใจในลักษณะนี้คือ จำได้แต่มักไม่เข้าใจถึงควมเชื่อมโยงและวิธีการน้อมนำไปใช้จริง ๆ หลายคนรู้สึกว่าเป็นทฤษฎีที่ยุ่งยาก ไม่สามารถปฏิบัติได้ทั้งหมด จึงรู้สึกว่าตนเอง “ไม่พอเพียง” และสุดท้ายคือท้อแท้ไป ไม่ศึกษาและน้อมนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตของตนเอง

๕)  เข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นทั้งหลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต โดยยึดเงื่อนไข ๒ ประการคือ เงื่อนไขคุณธรรม และเงื่อนไขคุณธรรม จะทำอะไรต้องไม่ผิดหลักคุณธรรมจริยธรรม สืบค้นและนำความรู้วิชาการมาใช้เสมอ ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง คิดพิจารณาอย่างครบถ้วนทั้ง ๓ ห่วง ว่า พอประมาณหรือไม่ มีเหตุผลมีหรือไม่ มีภูมิคุ้มกันที่ดีหรือไม่ ระหว่างกระทำและหลังกระทำ ระลึกและกำกับให้อยู่ในเงื่อนไข ๒ และพิจารณาครอบคลุม ๔ มิติ ทั้งวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายให้เกิดความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน

และเสนอเป้าหมายของการส่งเสริมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ทำให้นิสิต บุคลากร และประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวในข้อ ๕) ซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จได้จริงก็ต่อเมื่อมีกิจกรรม โครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาส เอื้ออำนวยให้นิสิต บุคลากร และประชาชนทั่วไป ได้น้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ด้วยตนเองเท่านั้น 


คุณวินัย ตาเมือง ที่ปรึกษาชมรมตามรอยเท้าพ่อ กำลังขับเคลื่อนสำคัญ

ศราวุธ ประธานชมรมกู้ภัยราชพฤกษ์ มมส.

ดูรูปทั้งหมดที่นี่

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

อาจารย์ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (๔) : Active Learning กับ Problem-based Learning

วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๐ สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เชิญผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล มาเป็นวิทยากรอบรมอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไปผู้สนใจจำนวนประมาณ ๘๐ ท่าน ตามโครงการ "In-house Training 2nd : Active Learning"  ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ที่ท่านมาที่ มมส. ครั้งก่อนเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (ผมบันทึกการเรียนรู้ไว้ที่นี่ บันทึก ๑ บันทึก ๒ และบันทึก ๓) แม้เราจะกำหนดเป็นหัวเรื่องเดิม แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ... จึงจะบันทึกต่อเนื่องไว้ใน ๒-๓ บันทึกต่อไปนี้

ท่านแจกเอกสารประกอบการอบรม ๒ ฉบับ ฉบับแรก (ดาวน์โหลดที่นี่) บอกว่า ทำไมต้อง "เปลี่ยนวิธีสอน" มาเป็นแบบ Active Learning  อยากให้ท่านผู้อ่านคลิกโหลดไปอ่านบทสนทนาระหว่าง อ.ปริญญา กับ ศาสตราจารย์เบอร์นาร์ด แทน ( Bernard C.Y. Tan) รองอธิการบดีฝ่ายอาจารย์และการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงค์โปร (NUS) บทสนากับศาสตราจารย์แนนซี่ บัควิก (Nancy Bugwig) รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษาของมหาวิทยาลัยคลาร์กแห่งแมตซาชูเซท (Clark University of Massachusetts)  และโดยเฉพาะตอนที่ท่านคุยกับผู้บริหารของศูนย์พัฒนาการสอนและการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงค์โปร (CDTL) ... ผมเองจับประเด็นสำคัญดังนี้ครับ
  • การ "เปลี่ยนวิธีสอน" ทำให้ NUS เปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัย top 10 ในเวลาเพียง ๑๐ ปี 
  • ตอนนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา เลิกสอนแบบบรรยาย (Lecture) (บอกความรู้) หมดแล้ว ....  เขาสามารถเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง ๔ ปี เท่านั้น ศาสตราจารย์ Nancy ยกความดีนี้ให้กับ Prof. Carl Wieman นักฟิสิกส์โนเบลและอดีตประธานธิปดีโอบามา
  • สิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดคือ อาจารย์มหาวิทยาลัย 
  • ที่ NUS อาจารย์ใหม่ ๆ ต้องเข้าอบรมกับศูนย์พัฒนาการสอนและการเรียนรู้ (CDTL) เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ 
เอกสารฉบับที่ ๒ (ดาวน์โหลดที่นี่) บอกหลักการออกแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning และ วิธีการออกแบบกิจกรรมเรียนรู้แบบ Problem-based Learning  ผมสรุปเป็นแผนภาพ ดังนี้ครับ




(เชิญท่านผู้สนใจนำภาพนี้ไปใช้ได้เลยครับ  ท่านอาจารย์ปริญญาเอง ท่านก็ยินดีครับ... ผมถามท่านแล้ว)


วิธีการอบรมฯ ของท่าน ช่วงเช้าเป็นแบบ  Active Learning จริง ๆ เรียกว่า ท่านสาธิตให้เห็น คือได้ดูและผู้ดูยังอยู่ในเหตุการณ์ด้วย  ส่วนช่วงบ่าย ท่าน Training การออกแบบการเรียนรู้แบบ Problem-based Learning จนถึงเกือบ ๑๖.๓๐ น.... ทั้งสนุกและประเทืองปัญญา  คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ...

อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจยิ่ง คือสิ่งที่ท่านย้ำกับเรามาก ๆ ว่า ให้ใช้ระเบียบราชการแบบปกติ ไม่ต้องใช้อัตราพิเศษใด ๆ  และให้เบิกจ่ายจริงตามเวลาที่ท่านเริ่มและเลิกอบรม  ... ผมจึงคิดว่า น่าจะใช้คำว่า "เมตตา" สำหรับการมาครั้งนี้









วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

เครื่องฉาย กับ เครื่องกรอง ของ รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์

วิธีการในการทำให้เยาชนเข้าใจ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ได้อย่างถูกต้อง เทคนิคที่ทำให้พวกสามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ได้ฝึกจิตจนติดเป็น “อุปนิสัยพอเพียง” สำคัญคือต้องได้คิดและได้ทำบ่อย ๆ และต่อเนื่อง วิธีหนึ่งที่ลัดสั้นและแม่นตรงมาก ๆ คือวิธีของท่านอาจารย์ไพโรจน์ คีรีรัตน์ …

ฝึกคิดด้วยแบบเครื่องฉาย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ

วิธีฝึกคิดด้วยการเล่าเรื่อง ถ่ายทอดเรื่องราว โดยเฉพาะตอนที่มอบหมายให้ผู้เรียนนำเสนอสิ่งต่าง ๆ หน้าชั้นเรียน ให้นึกถึงเครื่องฉายหนัง ดังรูป ความรู้/ประสบการณ์ เปรียบเหมือนม้วนฟิล์ม เมื่อจะฉาย ให้ฉายผ่านเครื่องฉาย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข หากทำได้อยากถูกต้อง จะได้เรื่องราวที่เป็นความจริง ครบถ้วน และถูกต้อง ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน




ฝึกฟังด้วยเครื่องกรอง ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข

ทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวที่เพื่อนนำเสนอ ให้ทุกคนกรั่นกรองบนหลักคิด ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข สิ่งที่ได้ คือ ความจริง ได้ความจริงอย่างครบถ้วน










วิธีทั้งสองนี้ แตกต่างจากการนำเสนอและถอดบทเรียนบนหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ ตรงที่ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดว่า เชื่อมโยงให้ผู้ฟังได้รับรู้ว่า ห่วงใดเงื่อนไขใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พูดอย่างไร หากแต่เป็นการพูดหรือฟังในชีวิตธรรมดา … ความยากอยู่ที่เราต้องฝึกให้ผู้เรียนถอดบทเรียนบนหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข จนเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถูกต้องและคล่องแคล่วเสียก่อน …. ดังนั้น ผมตีความว่า การถอดบทเรียน เปรียบเหมือน “เลนส์ฉาย” และ “ใส้กรอง” ของเครื่องฉายและเครื่องกรอง นั่นเอง

ท่านผู้อ่านว่าไงครับ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

หากไม่เคยดูเรื่องนี้ "Man form Earth"

หนังเรื่อง "Man from Earth" ผลงานเขียนชิ้นสุดท้ายของเจอโรม บิกบาย (๋Jerome Bixby) เป็นหนังที่ประเทืองปัญญายิ่ง จึงคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งดี ๆ ที่ควรจะต้องแนะนำต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่มีศรัทธาต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า และชาวเราที่ยกย่องต่อหลักฐานและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์....หลังจากดูเรื่องนี้จบ ผมสืบค้นพบว่า มีผู้สรุปและเขียนสะท้อนความรู้สึกไว้มากมาย โดยเฉพาะลิงค์นี้

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560

CADL ขับเคลื่อน ปศพพ. ใน มมส. _ ๕: รายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ "ธุรกิจพอเพียง" อาจารย์พีรวัศ กี่ศิริ

ความก้าวหน้าที่สำคัญของรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ คือ การตกลงร่วมกันของอาจารย์ผู้สอน ให้ภาคการเรียนที่ ๒/๒๕๕๙ นิสิตทุกกลุ่มการเรียน ทำโครงการ "ธุรกิจพอเพียง" เป็นงานกลุ่มย่อย โดยกำหนดให้นำเสนอผลงานตอนปลายเทอม และประเมินผลเป็นคะแนน ๑๕ เปอร์เซ็นต์  ...  ขอขอบพระคุณอาจารย์พีรวัศ กี่ศิริ ที่เป็นแรงผลักสำคัญ ดันให้มาถึงจุดนี้  ผมเคยเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากท่านไว้ที่นี่ ขอแนะนำให้ผู้สนใจเข้าไปศึกษาและติดตามผลงานของท่านได้ทางเฟสบุ๊ค พีรวัศ กี่ศิริ ได้ครับ

บันทึกนี้ขอสรุปเกี่ยวกับ "ธุรกิจพอเพียง" ที่เราได้เรียนรู้จากท่าน โดยกำหนดไว้ในความหมายของเรา และให้ทุกกลุ่มเรียนยึดเอานิยามศัพท์เหล่านี้ เป็นแนวทางในการสื่อสารกับนิสิตผู้เรียน

ธุรกิจพอเพียงคืออะไร

"ธุรกิจพอเพียง" หมายถึง กิจกรรมการสร้างผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรม หรือการแปรรูปผลิตภัณฑ์ แล้วนำมาขายเพื่อสร้างรายได้ โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการดำเนินงานทุกขั้นตอน มีองค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ผู้ประกอบการ บริษัท และรายได้ โดยผู้ประกอบการมีการร่วมทุนกัน ดำเนินกิจกรรมร่วมกัน และมีการแบ่งปันรายได้กัน

"กิจกรรมธุรกิจพอเพียง" หมายถึง กิจกรรม "ธุรกิจพอเพียง" ของกลุ่มนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีนิสิตเป็นผู้ประกอบการ มีกลุ่มนิสิตร่วมกัน ๕ - ๒๐ คน ดำเนินกิจกรรมกลุ่มในลักษณะคล้ายบริษัท เพื่อสร้างรายได้ภายใต้ข้อกำหนดที่อาจารย์ผู้สอนกำหนด เช่น ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน  ต้องจัดทำสื่อเพื่อนำเสนอกระบวนการดำเนินการ และทำบัญชีแสดงกำไร-ขาดทุน หน้าชั้นเรียนและในงาน "ตลาดนัดพอเพียง" เป็นต้น วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของกิจกรรมธุรกิจพอเพียง คือ ให้นิสิตได้ฝึกประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

"ตลาดนัดพอเพียง" หมายถึง งานตลาดนัดขายสินค้านวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก "กิจกรรมธุรกิจพอเพียง" จัดขึ้นโดยสำนักศึกษาทั่วไปร่วมกับชมรมตามรอยเท้าพ่อและชมรมต้นกล้าพันธุ์ดี ณ พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งวัตถุประสงค์หลักเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้และฝึกทักษะการดำเนินชีวิต ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

กิจกรรมธุรกิจพอเพียงทำอย่างไร 

อาจารย์ผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข ขอบเขต และเป้าหมายความสำเร็จ ของการดำเนิน "กิจกรรมธุรกิจพอเพียง" ตามแต่ท่านเห็นสมควรว่าเหมาะสมกับผู้เรียน สิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ปัจจุบัน นิสิตแต่ละกลุ่มซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการ จะต้องรวมกลุ่มกันคิดและสร้างนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์อย่างน้อย ๑ อย่าง เพื่อนำไปขายสร้างรายได้ โดยต้องไม่ร่วมลงทุนกันมากเกินไป (ไม่ควรเกินคนละ ๒๐๐ บาท)  นิสิตควรแบ่งขั้นตอนการดำเนินงานออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่
  • เขียนแผนธุรกิจ คือ คิดแผนและเขียนแผนลงในกระดาษ ว่า จะทำอะไร อย่างไร ใช้งบประมาณเท่าใด ใช้เวลาเท่าใด จะขายให้ใคร ใครคือกลุ่มเป้าหมาย ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ  ... เมื่อเสร็จขั้นนี้ ควรนำมาเสนออาจารย์ผู้สอนให้พิจารณาเห็นชอบก่อนการดำเนินการขั้นต่อไป 
  • ลงมือทำตามแผนธุรกิจ คือ การลงมือสร้างนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์หรือแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการขายผลิต สร้างรายได้ ซึ่งต้องมีการทำบัญชีรับจ่ายอย่างละเอียด 
  • ขั้นการถอดบทเรียน สรุป และนำเสนอผลงานในงาน ซึ่งอาจารย์ผู้สอนจะเป็นผู้ประเมินผลหรือกำหนดวิธีการประเมิน  
อย่างไรก็ตาม...  นี่เป็นเพียงข้อเสนอนะครับ  หากนิสิตเข้ามาอ่านบันทึกนี้ ต้องเข้าใจว่า ให้แล้วแต่อาจารย์ผู้สอนท่านจะเป็นผู้กำหนด

ลักษณะเด่นบางประการของ "ธุรกิจพอเพียง"

ต่อไปนี้คือ ลักษณะสำคัญของนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ ในการทำธุรกิจพอเพียง ที่นิสิตควรจะทราบก่อนจะคิดแผนธุรกิจ
  • ไม่ใช่ธุรกิจที่ส่งเสริมอบายมุข เช่น ขายเหล้า ขายบุหรี่ ขายอาวุธ ฯลฯ   ควรเป็นสิ่งที่ส่งเสริมสังคมไปในทางที่ดี
  • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสังคมให้เห่อไปกับคุณค่าเทียมและทุนนิยม เช่น ขายผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม เครื่องประดับหรือแฟชั่นแพง ๆ ฯลฯ  ควรเป็นกิจกรรมที่สิ่งเสริมสังคมให้เห็นความสำคัญของคุณค่าแท้ของผลิตภัณฑ์ โดยเน้นคุณภาพและราคาที่เป็นธรรม 
  • ไม่ใช่กิจกรรมลักษณะซื้อมาขายไป เป็นผู้ค้าคนกลาง ควรต้องสร้างนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง 
ความจริง อาจารย์พีรวัศ ท่านมอบสไลด์ที่แสดงตัวอย่างของ "ธุรกิจพอเพียง" ระดับโรงเรียนมัธยมที่ท่านขับเคลื่อนอยู่ ... แต่ผมเห็นว่า การไม่เห็นตัวอย่าง แต่ให้นิสิตคิดขึ้นเอง จะเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรมได้มากว่า

แบบไหนที่เรียกว่าสร้างสรรค์หรือนวัตกรรม

ลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่นิสิตจะสร้างขึ้น อาจจัดแบ่งลำดับของการคิดสร้างสรรค์ ได้โดยเทียบเคียงกับทฤษฎีสร้างสรรค์ของ ศาสตราจารย์ กิลฟอร์ด (Guilford) นักจิตวิทยาชาวอเมริกา ซึ่งเสนอมาไว้ตั้งแต่ 1967  เป็น ๔ ระดับ ได้แก่
  • ระดับลอกเลียน (Duplicate)  คือซ้ำเดิมกับสิ่งที่มีคนเคยทำมา ซึ่งรวมถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นทางอินเตอร์เน็ตด้วย
  • ระดับต่อเนื่อง (ต่อยอด ขยาย Extension) 
  • ระดับสังเคราะห์ (Synthesis) คือการสังเคราะห์เอาคุณสมบัติต่าง ๆ ของสิ่งที่มีอยู่ มาสร้างเป็นสิ่งใหม่ โดยใช้ความรู้ที่เคยมีเคยทำมาแล้ว
  • ระดับสร้างนวัตกรรม (Innovation)  คือการสร้าง สิ่งใหม่จากความคิด จิตนาการ และความรู้ของตนเองขึ้นมา

หรือจะมองอีกอาจมองอีกมุมของการประดิษฐ์ ได้ดังนี้ครับ สิ่งที่สร้างสรรค์คือ
  • สิ่งใหม่ไม่เคยมีใครทำ  
  • หากไม่ใหม่ แต่ถ้าดีกว่าเดิมก็โอเค  
  • ถ้าไม่ใหม่ ไม่ดีกว่าเดิมแต่ราคาต้นทุนถูกกว่าเดิมก็ได้ หรือ
  • ถ้าไม่ใหม่ ไม่ดีกว่าเดิม ราคาต้นทุนก็ไม่ถูกลง แต่เป็นการพึ่งตนเองมากขึ้น หรือทำด้วยตนเอง ด้วยวัสดุในพื้นที่ของตนเอง ก็ถือว่าควรส่งเสริม
อย่างไรก็ดี ... ก็ขอให้เป็นดุลยพินิจของอาจารย์ผู้สอนในการประเมินและสะท้อนความสำเร็จเพื่อการพัฒนาของนิสิตครับ




วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

CADL ขับเคลื่อน ปศพพ. ใน มมส. _ ๑๔ : รายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เรียนรู้จาก รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์

วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ในเวทีประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เราได้รับเกียรติจาก รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ มาบรรยายพิเศษแลกเปลี่ยนในหัวเรื่อง "การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในมหาวิทยาลัย"  ท่านเป็นเลิศเรื่องการ "การตั้งคำถาม" คำถามของท่าน พาเราให้ลุ่มลึกในเหตุและผล ประเทืองปัญญาของแต่ละคนยิ่ง ... ผมเคยบันทึกถึงท่านเมื่อครั้งไปเจอที่ จ.สกลนคร (ที่นี่) และ ไปเยี่ยมท่านที่หาดใหญ่ (ที่นี่)

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร?

อาจารย์ไพโรจน์ เปิดประเด็นว่า การนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาตีความด้วยความเข้าใจของตน ๆ แล้วเผยแพร่กันไป ทำให้ดูเหมือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องยาก ..... ถามตรง ๆ ว่า  "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร? " หากมีเด็กนักศึกษามาถาม เราจะตอบอย่างไร?..."  ก่อนจะเปิดเวทีให้อาจารย์แต่ละท่านแลกเปลี่ยนกัน และจบด้วยการสรุปด้วยสไลด์นี้



ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ หลักคิดเชิงประบวนการที่ทำให้คนเกิดปัญญา ... ท่านยกตัวอย่างด้วยการตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้คนเป็นปราชญ์ มีคนจำนวนมากทำสิ่งที่เหมือนกัน แต่มีบางคนเท่านั้นที่เป็นปราชญ์ในเรื่องนั้น มีเกษตรกรหลายล้านคน แต่มีเกษตรกรน้อยมากที่เป็นปราชญ์ เป็นผู้มีปัญญา ...คำถามคืออะไรทำให้คนกลายเป็นปราชญ์  ... ความสามารถในการคิดเชิงกระบวนการนั่นเอง 

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ หลักปฏิบัติ เป็นหลักปฏิบัติในการนำหลักคิด ปศพพ. มาใช้ ผลลัพธ์คือทำให้เกิดเป็นอุปนิสัยพอเพียง



อาจารย์ไพโรจน์ ตีความปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่ออธิบายว่า ทำไมท่านถึง ใส่คำว่า "ชีวิต" เข้าไปในมิติทางเศรษฐกิจ ดังสไลด์ด้านบนครับ ... น่าสนใจมาก  หากมองตรง ๆ แบบความคิดแบบตรรกะ จะแปลได้ดังนี้ครับ
  • ปรัชญา เท่ากับ หลักความรู้ หลักความจริง 
  • เศรษฐกิจ เท่ากับ งานที่เกี่ยวกับการผลิต การกระจาย และการบริโภค/บริการ 
  • พอเพียง เท่ากับ สมดุล (อยู่บนทางสายกลาง) ไม่เบียดเบียนตนเองและต่อผู้อื่น 
ดังนั้น ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (มิติเศรษฐกิจเพื่อชีวิต) จึงเท่ากับ หลักความรู้ หลักความจริง ของงานที่เกี่ยวกับการผลิต การกระจาย และการบริโภค/บริการ ที่สมดุล (อยู่บนทางสายกลาง) ไม่เบียดเบียนต่อตนเองละต่อผู้อื่น

สอนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  สอนอะไร?

 "...ตกลงเราสอนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เราสอนอะไร?..." 

๑) คือสอน "ความรู้"
 
สอนอะไร? ... สิ่งที่ต้องสอนในการขับเคลื่อน ปศพพ. คือ สอนความรู้ (เนื้อหา) เกี่ยวกับ ปศพพ. สอนทักษะการคิด โดยเฉพาะการคิดเป็นกระบวนการ สอนการนำไปหลัก ปศพพ. ไปใช้กำกับตนเองในการทำงาน และสิ่งสำคัญคือ การให้เด็กสะท้อนการเรียนรู้ หรือถอดบทเรียน การนำไปใช้ ให้เห็นประโยชน์ และเห็นตนเอง

"...ความรู้คืออะไร?..." คำตอบของผู้อ่านคืออะไร? ความรู้คือความเข้าใจใช่ใหม? ถ้าเราไม่เข้าใจล่ะ? ถือเป็นความรู้ไหม? สิ่งนั้นมีอยู่ แต่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ถือว่าสิ่งนั้นเป็นความรู้ไหม? ในทางวิทยาศาสตร์แบ่งความรู้ออกหลายประเภท ได้แก่ ข้อเท็จจริง สมมติฐาน ความคิดรวบยอด หลักการ กฎ ทฤษฎี  แต่ถ้าหากเป็นทางไอที จะแยก "ความรู้" ออกจาก "ข้อมูล" (Data) แยกข้อมูลออกจาก "สารสนเทศ" (Information) ส่วนด้านการศึกษา จัดพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของมนุษย์ให้เหนือไปกว่า "ความรู้" (knowledge) ไปอีกโดยใช้คำว่า "ปัญญา" (Wisdom) แต่หากใครที่ทำงานด้านจัดการความรู้ (KM) จะบอกว่าความรู้แบ่งได้ ๒ แบบคือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ ความรู้ฝังลึกในตัวคน (Tait Knowledge) ... ก็แล้วแต่คนจะนิยามตอบไป ...

ผมเองคิดในใจว่า "ความรู้" ก็คือ "คำตอบ"  เพราะผู้หาความรู้ และกำหนดว่าอะไรเป็นความรู้คือ "มนุษย์"  และเหตุที่ทำให้มนุษย์พบความรู้ก็คือ "คำถาม" หรือ "ปัญหา" สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ "ปัญญา" หรือ "คำตอบ" นั่นเอง ....

๒) คือสอนทักษะการคิดเป็นกระบวนการ 

สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเยาวชนไทยคือ การคิดแบบแยกส่วน บางเรื่องคิดถึงแต่ "ผล" บางครั้งคิดถึงแต่ "เหตุ" ขาดทักษะในการคิดเชื่อม "เหตุ" กับ "ผล" อย่างถูกต้อง อ.ไพโรจน์ เน้นว่า การคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสุดยอดของการคิดเป็นกระบวนการ เป็นเหตุเป็นผล  ดังนั้นการสอนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือการฝึกคิดแบบเป็นกระบวนการนั่นเอง


คิดแบบเป็นกระบวนการ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เสนอด้วยแผนภาพด้านบน คือ จะทำอะไรก็ต้องคิดก่อน โดยเริ่มคิดให้ครอบคลุม ๔ มิติ ทั้งก่อนและหลังการตัดสินใจภายใต้หลักคิด ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ท่านเน้นว่า การใช้เหตุและผลต้องอยู่บนฐานความรู้ความจริง และเงื่อนไขคุณธรรมคือสิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันที่แท้จริง

๓) สอนทักษะการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
 
สิ่งที่ต้องฝึกเป็นกิจวัตรประจำวัน ฝึกให้ได้บ่อยที่สุด ฝึกจนเกิดเป็นนิสิต หรือให้เกิดอุปนิสัยพอเพียง ก็คือ การคิดก่อนพูดและทำ  นั่นคือการ ใช้ ปศพพ. ทุกครั้งในการตัดสินใจ นั่นเอง 


 

การสอนให้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ คือการคิดและตัดสินใจบนหลักคิด ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข  ท่านยกตัวอย่าง การไปเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้า  ก่อนจะซื้อหากคิดได้ครบ ๓ ห่วง และอยู่ภายใต้ ๒ เงื่อนไข ก็ถือว่า นำเอาหลัก ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้แล้ว เช่น
  • คิดถึงเหตุก่อนว่า ทำไมต้องซื้อ เหตุผลที่ต้องซื้อนั้นอยู่บนหลักความจริง เป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่  .... นี่คือหลักเหตุผล
  • สินค้าที่จะซื้อ ราคา คุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย พอประมาณกับเงินที่มี ศักยภาพของตนเองทุนทรัยพย์ และความสามารถในการใช้งาน ว่า คุ้มค่าหรือไม่  .... นี่คือหลักพอประมาณ
  • การซื้อนั้นมีความเสียงอะไรหรือไม่ และหลังจากซื้อแล้วจะมีผลกระทบต่อตนเองและต่อผู้อื่นหรือไม่  ... นี่คือคิดบนหลักของภูมิคุ้มกัน 
เมื่อครบ ๓ ห่วง และทุกห่วงที่คิดพิจารณาว่าอยู่ภายใต้สองเงื่อนไข ก็สามารถตัดสินใจได้เลย ... นี่คือการฝึกนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการตัดสินใจ


สรุปก็คือ ต้องให้นิสิตได้ฝึกคิดวิเคราะห์ก่อนจะตัดสินใจกระทำสิ่งใด ๆ  และฝึกให้มีการตรวจสอบผลลัพธ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างแท้จริง

 อีกเทคนิคหนึ่งในการนำเอา ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้คือ ให้ผู้เรียนฝึกวิเคราะห์เป้าหมาย ฝึกวิเคราะห์ว่า อะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือเหตุที่แท้จริงของผลนั้น และเหตุผลเชื่อมโยงกันอย่างไร โดยกำกับไว้ด้วยศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ และเงื่อนไขความซื่อสัตย์ และไม่เบียดเบียนตนเอง ดังสไลด์ด้านล่าง



๔) ให้สะท้อนการเรียนรู้ หรือถอดบทรเีรยน 

การนำเสนอเรื่องราว หรือ "เล่าเรื่อง"

วิธีฝึกการนำหลัก ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้อีกวิธีหนึ่งคือ ให้นิสิต นำเสนอเรื่องราวแบบ ๓ ห่วง ๑ เงื่อนไข โดยมีเป้าหมายว่า ให้สามารถสื่อสารได้อย่างครบถ้วน  ดังแผนภาพ

อาจารย์ไพโรจน์ท่าน เปรียบถึงเครื่องฉายหนัง (สมัยเก่า) ที่มีฟิล์มหรือเรื่องราวประสบการณ์ที่อยากจะถ่ายทอด  วิธีการคือให้นิสิตลองฝึกเล่าเรื่องบนหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข  ซึ่งเป็นเหมือน "ตัวสื่อสารหรือเรียบเรียง" เรื่องราวนั้น ๆ ให้ได้เรื่องราวที่ถูกต้องครบถ้วน

ในทางกลับกัน นิสิตต้องฝึกการฟังแบบ "กรองด้วย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข"  ฝึกการฟังเรื่องราวเพื่อเรียนรู้ "การกรองข้อมูล"  โดยใช้ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข เป็นตัวกรองให้ได้ความจริง ดังภาพด้านล่าง





เบื้องต้น กรองด้วยตัวกรองหยาบ ด้วยเงื่อนไขความรู้และคุณธรรมก่อน  ก่อนจะกรองละเอียดด้วย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ก่อนจะตัดสินใจว่า ถูกต้องเป็นจริงหรือไม่ เพื่อจะคิดอ่านนำไปทำประโยชน์ต่อไป

อาจารย์ไพโรจน์ ท่านเสนอรูปแบบกระบวนการสอนหลัก ปศพพ. ดังแผนภาพด้านล่าง


ผมประทับใจรูปแบบการเรียนรู้นี้มาก ... และได้ขออนุญาตท่านอาจารย์ไพโรจน์ ไว้แล้วว่า จะนำเอาโมเดลการฝึกอุปนิสัยพอเพียงนี้ ไปขยาย กระจายไปสู่เพื่อนครู อาจารย์ และลูกศิษย์ทั้งหลาย ให้ทดลองนำไปใช้กันในชีวิตประจำวัน
  • ใช้ ปศพพ. เป็นตัวกรอง เรื่องราวภายนอก ให้ได้แต่ความจริง สู่ภายใจ สู่ภายในตัวเรา 
  • ใช้ ปศพพ. เป็นตัวสื่อสาร เรื่องราวความจริงจากภายในตน ไปสู่คนอื่นอย่างถูกต้องและครบถ้วน  
  • การฝึกนำ ปศพพ. มาใช้ในการดำเนินชีวิต คือการเจริญปัญญา เป็นการพัฒนาอย่างแท้จริง
 นอกจากทั้งหมดนี้แล้ว ท่านยังนำเสนอวิธีการสอน ปศพพ. ที่ท่านใช้อยู่และได้ผล ที่ มอ. หาดใหญ่ ใน ๔ ขั้นตอน ดังสไลด์ด้านล่าง



วิธีที่ท่านใช้อยู่ในกรอบสีเหลืองในสไลด์สุดท้าย ท่านใช้นิสิตปี ๒ กระบวนการทั้งหมดไม่เพียงสอนนิสิต แต่ได้สอนทั้งครูในโรงเรียน ทั้งอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษา ไปพร้อม ๆ กัน

ขอเสนอให้ครูอาจารย์ ที่กำลังสอนรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือขับเคลื่อนฯ อยู่ในโรงเรียนทุกท่าน นำเอาโมเดลการฝึกของท่านไปใช้ครับ

ผมเองก็จะนำไปใช้ประโยชน์ให้มากเช่นกัน ....ขอบคุณท่านอีกครั้งครับ





 

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

"ธุรกิจพอเพียง" เศรษฐกิจพอเพียงภาคปฏิบัติ เครื่องมือในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ โดย อ.พีรวัศ กี่ศิริ

การเดินทางไปเรียนรู้ดูงานกับ รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ ในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ (อ่านที่นี่) ไม่ใช่ความจำเป็นยิ่งยวด เพราะผมได้เรียนรู้จากท่านมาหลายครั้งหลายเวที เขียนสะท้อนการเรียนรู้ไว้บ้างแล้วก็มี (เช่น ที่นี่)  แต่ที่จำเป็นต้องไปให้ได้ แม้ว่าจะใช้งบประมาณของราชการไม่น้อย เพราะ อ.พีรวัศ ท่านบอกไว้ตั้งแต่ตอนท่านมาช่วยพัฒนาอาจารย์ผู้สอนรายวิชา ปศพพ. ของ มมส. ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ และต่อมาในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ท่านช่วยเชิญเพื่อนสนิท (อ.ทนง ขันทอง) บรรณาธิการอาวุโสในเครือเนชั่น มาบรรยายพิเศษให้อาจารย์และนิสิตฟัง (อ่านได้ที่นี่) ความมุ่งมั่น เสียสละ และจิตอาสา ทำให้เห็นต้องมาเจอ มาเป็นส่วนหนึ่งของ "นักรบพอเพียง" ให้ได้ ... ขอบคุณท่านอีกครั้งครับ

"นักรบพอเพียง" คือคำจำเพาะที่ อ.พีรวัศ กี่ศิริ ท่านใช้เรียกคนที่กำลังอุทิตนเพื่อขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) โดยเฉพาะหมายถึงตัวท่านเองที่กำลังผลักดันเรื่องนี้สู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศ (ติดตามงานของท่านได้ทางเฟสที่นี่) ... ผมตีความว่า ที่ท่านใช้คำว่า "นักรบ" เพราะต้องการสื่อว่า ขณะนี้เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ แต่อยู่ในภาวะสงคราม สงครามระหว่างทุนนิยมเสรีแบบสุดโต่งกับเศรษฐกิจพอเพียง ธรรมะนิยมที่เน้นความสมดุลและยั่งยืนสงครามการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจเพื่อยึดครองทรัพยากร  ... หากอยากรู้สถานการณ์ ให้อ่านบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับ อ.ทนง ขันทอง เพื่อนสนิทของท่านได้ ที่นี่ครับ

ยุทธการของ อ.พีรวัศ คล้ายกับวิธีการของ อ. ไพโรจน์ที่มุ่งเป้าไปยังโรงเรียน ต่างกันตรงที่ อ.ไพรโจน์ ใช้โครงงานและกิจกรรมเป็นเครื่องมือหรือตัวกลาง ส่วน อ.พีรวัศ มุ่งใช้การทำ "ธรุกิจพอเพียง" ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการผลิต->การแปรรูป->การค้าขาย เรียนจากชีวิตจริง "ของจริง" การแก้ปัญหาจริงๆ ค้าขายจริงๆ ซึ่งหากมองในมุมของการศึกษานั้น เรายอมรับกันอยู่แล้วว่า การกำหนดสถานการณ์หรือปัญหาใดๆ ไม่ว่าจะในหรือนอกโรงเรียน ไม่มีทางทำให้เกิดผลการเรียนรู้กับผู้เรียนได้เหมือน "ของจริง" โดยเฉพาะความฉลาดหรือทักษะทางการเงิน ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคนไทยที่ไม่มีสอนในโรงโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ยกเว้นเพียงคณะผลิตปริญญาโดยตรงเท่านั้น

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของ อ.พีรวัศ แสดงดังภาพด้านล่าง (ท่านส่งฉบับอัพเดทมาให้สดๆ ร้อน วันนี้เองครับ)


ท่านยื่นแผ่นความคิดรวบยอดนี้ให้ผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมกับถามว่า "ช่วยดูหน่อย ควรปรับแก้ตรงไหน?"  ผมตอบท่านไปเพราะนั่งใกล้ติดกันว่า มิบังอาจขนาดนั้นครับ แต่หากถามว่าดูแล้วเข้าใจอย่างไร?  อันนี้น่าจะพอเสนอความเห็นได้ดังนี้ครับ

มีประเด็นสำคัญ ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑) ปัญหาและที่มา ๒) นิยามและความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓) ธุรกิจพอเพียง และ ๔) เศรษฐกิจพอเพียงสู่โลกสากล


  • "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม"  พระปฐมบรมราโชวาท (เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓) คือจุดเริ่มต้นของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
  • เพราะปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาจากการทรงงาน ไม่มีในตำรา
  • คำว่า "...โดยธรรม..." หมายถึงธรรมะ ดังนั้น ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจึงสัมพันธ์กับทั้งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 
  • ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ รากฐานของระบอบธรรมาธิปไตย 
  • ทรงตรวจแก้ไขและพระราชทานเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
  • เราอัญเชิญมาพัฒนาประเทศ โดยใช้เป็นหลักคิดในการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ ๙ เป็นต้นมา 
  • ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ใช้ชาติอยู่รอดได้คือ ความสามัคคี  

  • ประเด็นที่ ๒ เป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
  • ธุรกิจพอเพียง คือการประยุกต์ใช้หรือน้อมนำมาใช้ด้วยทักษะแห่งการรู้ตัว คือ มี "สติ" 
  • มีเหตุผลในการตัดสินใจ 
  • พอประมาณ คือ ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น 
  • ประเทศไทยต้องมีภูมิคุ้มกันจากการล่าอาณานิคมสมัยใหม่  ... ไม่ให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งอีก


  • ธุรกิจพอเพียง จะปลูกฝังให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ในอนาคต (Entrepreneur) ... (ไม่ใช่เรียนไปเป็นลูกจ้าง)
  • ผู้เรียนจะได้ฝึกมองหาโอกาสในการทำการค้า กล้าเผชิญความเสี่ยงอย่างฉลาด ลงมือทำอย่างเส้นคงวา และมีความสามารถในการบริการจัดการจนเป็น "ธุรกิจ" 
  • การทำธุรกิจพอเพียง ไม่ได้หวังผลกำไรมากที่สุด แต่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในตัวผู้เรียน โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม โดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ที่ทันสมัย (KM 3.0) ซึ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันผ่าน ICT และการรวมกลุ่มและสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (PLC)

  • ธรรมะเป็นสิ่งสากล ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหนัาที่ที่ต้องปฏิบัติ ธรรมะคือผลที่ได้จากการปฏิบัติ (๔ ความหมาย) ... นี่เป็นการตีความของท่านพุทธทาสภิกขุ (อ่านได้ที่นี่) ... ผมเข้าใจว่า ท่านจะเน้นว่า หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นตั้งอยู่บนทางสายกลาง อันเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา และขณะนี้ธรรมะ ศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น กำลังได้รับการเผยแพร่สู่สากล
  • พระไตรปิฎกฉบับสากล (ภาษาโรมัน) ได้รับการเผยแพร่อย่างเป็นทางการไปทั่วโลก (อ่านที่นี่
  • ทั่วโลกกำลังตื่นตัวเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามมติที่ประชุมของสหประชาชาติที่ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals (SDGs)) ๑๗ ประการ อ่านได้ที่นี่  หรือที่นี่

ที่มา : http://www.tsdf.or.th/th/seminar-event/10268/sustainable-development-goals-sdgs


ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน ปศพพ. ด้วย "ธุรกิจพอเพียง" ของ อ.พีรวัศ ชี้บอกวิธีการนำเอาวิธีการปลูกฝัง ปศพพ. ๕ ขั้นตอน (อ่านได้ที่นี่) ที่ผมได้เรียนรู้จากการ(แอบฟัง) องคมนตรี นพ.เกษม คุยกับนักเรียนทุนพอเพียงก่อนงานมอบทุนฯ รุ่นที่ ๕ ไปใช้ในเชิงกว้างและเป็นสากลมากขึ้น และโดยเฉพาะท่านกำลังทำให้ดูอยู่เป็นตัวอย่าง... การเดินทางของนิสิตแกนนำฯ ที่ มมส. จึงพอจะเห็นลู่ทางแล้ว...

เสียดายที่ผม ไม่มีโอกาสได้ติดตามไปฟังบรรยายของ อ.พีรวัศ เรื่อง "ธุรกิจพอเพียง" ในวันถัดมา (๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙) หากมีคลิปวีดีโอหรือเอกสารที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ต่อไป โปรดช่วยแนะให้จะขอบพระคุณมากครับ