วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่ายศึกษาการพัฒนาหนองเลิงเปือย (๑) : จะทำอะไร?

วันที่ ๑๒ - ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กำลังจะมีการจัดค่ายทุนพอเพียงที่หนองเลิงเปือย ผมตั้งชื่อเองว่า" ค่ายศึกษาการพัฒนาหนองเลิงเปือย" เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อพระราชทานของ "ศูนย์ศึกษาการพัฒนา" ซึ่งในหลวงทรวงทำเป็นตัวอย่างไว้ให้ปวงชนชาวไทยได้ไปเรียนรู้ทั้ง ๖ แห่งตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ (คลิกที่นี่) กลุ่มเป้าหมายของค่ายนี้คือนิสิตนักศึกษา "ทุนพอเพียง รุ่น ๓ - รุ่น ๔" กว่า ๓๕ คน ต้องมาเรียนรู้และอยู่ร่วมกันในพื้นที่รอบๆ หนองเลิงเปือย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ถึง ๕๓ หมู่บ้าน ๓ ตำบล ๒ อำเภอ เพื่อศึกษาปัญหาและการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย ซึ่งในหลวงทรงรับไว้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒

หากเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ผ่านอินเตอร์เน็ต) จะพบความหมายของคำว่า "เลิง" คือ "หนองน้ำ" เมื่อเอามาเปลี่ยนใส่ในชื่อ "หนองเลิงเปือย" จะกลายเป็น "หนองหนองเปือย"  ผมตีความว่า คณะกรรมการราชบัณฑิตยสถานขณะนั้น ไม่มีคนอีสานสักคน เพราะให้ความหมายคำว่า "เลิง" เพราะผมเองเป็นคนอีสาน และรู้จักทั้ง "หนอง" และ "เลิง" ซึ่งแสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน

คำว่า "เลิง" คือ คำที่คนอีสานใช้เรียกบริเวณ "ที่ลุ่ม" ที่ค่อยๆ ลาดเอียงลงจนกลายเป็นหนองน้ำหรือแอ่งน้ำซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือจะเรียกให้สั้นๆ คือ "เลิง" ก็คือบริเวณที่มีแอ่งน้ำนั่นเอง (เห็นด้วยกับความหมายในประวัติของเลิงนกทา อ่านที่นี่)

ส่วนคำว่า "เปือย" มาจากชื่อของ "ต้นเปือย" ในภาษาอีสาน ซึ่งก็คือต้นตะแบกเปลือกบาง (อ่านรายละเอียดของต้นไม้ที่นี่) ถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกไว้ใกล้บ้านเชื่อว่าจะช่วยแบกคานชีวิตผู้อยู่อาศัยไม่ให้ตกต่ำ บางครั้งคนโบราณเรียก "อินทนิล" บอกว่าเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพระอินทร์ (อย่าเพิ่งเชื่อไว) ความจริงมีไม้หลายชนิดที่คล้ายกันทำให้มักเรียกสับสนปนไปมา เช่น ตะแบก เสลา อินทนิล  อ่านความแตกต่างได้ที่เว็บนี้ครับ

เมื่อรวมสามคำเข้าด้วยกันจึงหมายถึง ชื่อหนองน้ำที่อยู่บริเวณที่ลุ่มซึ่งเคยมีต้นตะแบกเยอะ ชาวบ้านจึงเรียกเป็น "หนองเลิงเปือย" นั่นเอง ....  (จริงแท้อย่างไร อย่าเพิ่งเชื่อไว ผมเขียนแบบสังเคราะห์เท่านั้น)

หนองเลิงเปือย
 

เดิมหนองเลิงเปือยเป็นหนองน้ำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ อยู่ใกล้กับแม่น้ำลำปาว อยู่ระหว่างเขตพื้นที่อำเภอร่องคำและอำเภอกมลาไสย มีพื้นที่ ๘๘๗ ไร่ ความลึกเฉลี่ย ๓ เมตร กักเก็บน้ำได้ ๓.๕ ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ถึง ๕๓ หมู่บ้าน ๔ ตำบล ๒ อำเภอ กล่าวคือ ๑๕ หมู่บ้านของตำบลสามัคคี ๑๒ หมู่บ้านของตำบลเหล่าอ้อย ๑๓ หมู่บ้านของตำบลร่องคำ ตำบลทั้งหมดของอำเภอร่องคำ และอีก ๑๓ หมู่บ้าน ของตำบลโพนงาม ในเขตอำเภอกมลาไสย ดังรูป



พื้นทีส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่ ๑ ตำบลโพนงาม อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ มีลักษณะเป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง ๖ แห่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ได้แก่ หนองเลิงน้อย คอหนองเลิงน้อย หนองเลิงใหญ่ เลิงบ้านใต้ หนองปลาไหลเผือก และห้วยขี้นาค พื้นที่การเกษตรรอบหนองเลิงเปือย ประมาณ ๔๒,๙๕๘ ไร่ เป็นพื้นที่นา ๓๙,๔๐๖ ไร่  พื้นที่ทำไร่  ๒,๖๒๓ ไร่  ที่เหลือประมาณ ๙๒๙ ไร่ เพาะปลูกผัก ผลไม้ ทำประมงและปศุสัตว์


หนองเลิงเปือย มีพื้นที่รับน้ำฝน ๒๐๓.๙๘ ตารางกิโลเมตร มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ๑,๒๗๖  มิลลิเมตรต่อปี มีปริมาณน้ำไหลเข้าหนองเลิงเปือย ๕๗.๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จาก ๓ ทิศทาง ทิศเหนือไหลลงหนองเลิงน้อย ทิศตะวันออกไหลลงห้วยขี้นาค ส่วนทิศตะวันตกไหลหนองปลาไหลเผือก แล้วไหลลงสายเดียวตรงแม่น้ำลำปาว เมื่อฝายเก็บกักน้ำชำรุด และหนองเลิงเปือยเกิดการตื้นเขิน ถึงฤดูฝนก็จะเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่การเกษตรในตำบลโพนงาม อำเภอกมลาไสย และตำบลเหล่าอ้อย อำเภอร่องคำ เป็นประจำทุกปี 




ยามถึงหน้าแล้ง ก็ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร  ทั้งการที่แหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียงขาดการพัฒนา และพื้นที่การเกษตรบางส่วนอยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำรุนแรงขึ้น เมื่อไม่อาจทนความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซากมานานหลายปี โดยไม่เห็นหนทางคลี่คลายอื่นใดได้ จึงเป็นที่มาของการยื่นฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  

แหล่งอ้างอิงในเรื่องนี้มีมากทางอินเตอร์เน็ตดังนี้ (หนังสือพิมพ์แนวหน้า, คมชัดลึก, สำนักข่าวอิศรา, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, สารคดีจากช่อง ๑๑ ฯลฯ)  ผู้สนใจโปรดติดตามเถิด...
 

เป้าหมายของการจัดค่ายทุนพอเพียง

ก่อนจะสรุปเป้าหมายเป็นข้อๆ ว่าจะมาเข้าค่ายที่หนองเลิงเปือยทำไม จะบอกให้เข้าใจก่อนว่า ทำไม "นักเรียนทุนพอเพียง" ถึงต้องมาเข้าค่าย


โครงการทุนเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งมั่นที่จะ “พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี และคนเก่ง สู่เส้นทางความสำเร็จ ตามแนวทาง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง“ โดยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ ๑)สนับสนุนทุนเรียนปริญญาตรี ๒) บ่มเพาะปลูกฝังให้เป็นคนดีมีจิตอาสา ๓) ส่งเสริมให้กลับไปพัฒนาพื้นที่ภูมิลำเนาของตนเองเพื่อประโยชน์ของสังคมประเทศชาติ  นักเรียนทุนทุกคนจะรู้จักตราสัญลักษณ์ของทุนเศรษฐกิจพอเพียงดี เพราะแต่ละองค์ประกอบมีความหมายลึกซึ้งที่บ่งบอกถึงคุณลักษณ์ที่พึงประสงค์ได้อย่างดี (คลิกอ่านที่นี่)



สรุปเป้าหมายของนักเรียนทุนพอเพียงคือสร้าง "บัณฑิตที่เป็นคนดีมีอุดมการณ์เพื่อบ้านเกิด" คำว่า "บัณฑิต" คือคนมีปัญญา มีทักษะความสามารถตามศาสตร์สาขาที่ตนเลือกเรียน คำว่า "คนดีมีจิตอาสา" คือผู้มีความสุขจากการให้และช่วยเหลือสังคม ชุมชนชาวบ้าน ส่วนคำว่าอุดมการณ์นั้นต้องเกิดจากจิตใจที่เสียสละที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ทั้ง ๓ ประการนี้จะเกิดมีในตัวนักเรียนทุน ก็ด้วยการปลูกฝัง บ่มเพาะ สร้างโอกาสให้พวกเขาได้ฝึกฝนปฏิบ้ติเรียนรู้ศาสตร์พระราชา แล้วได้ลงมือแก้ปัญหาช่วยเหลือชุมชนด้วยตนเอง 

ตลอด ๔ ชั้นปีที่นักเรียนทุนอยู่ในระดับปริญาตรี มูลนิธิยุวสถิรคุณผู้ดูแลนักเรียนทุน จะจัดกิจกรรมค่ายนักเรียนทุนพอเพียง เพื่อพัฒนาคุณลักษณะที่ถึงประสงค์ดังกล่าวข้างต้น โดยออกแบบกระบวนการผ่านการเรียนรู้หลักทรงงานหรือศาสตร์พระราชาในช่วงชั้นปี ๑-๓ ให้เข้าใจและเข้าถึง แล้วจึงนำมาทดลองปฏับิตพัฒนาปัญหาจริงในชุมชนเป้าหมายในปีสุดท้ายก่อนจะสำเร็จการศึกษา

เป้าหมายของค่ายที่ ๑ (ก่อนเข้าเรียนชั้นปี ๑)  คือ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งนักเรียนต้องเตรียมทั้งภายในและภายนอก ภายในคือต้องสร้างภูมิคุ้มกันของสติ สมาธิ และความเห็นที่ถูกต้องของการดำเนินชีวิต รวมทั้งการสร้างค่านิยมร่วม (Shared value) ของนักเรียนทุน ภายนอกคือการวางแผนงานและแผนการจัดการชีวิตทั้งเรื่องเรียนเรื่องกิจกรรม และเรื่องจำเป็นที่นักเรียนทุนต้องทำ เช่น บัญชีรับ-จ่าย การเข้าร่วมค่าย หรือจดจำให้แม่น เช่น เงื่อนไขด้านการรักษาผลการเรียนของตนให้พ้น ๒.๕๐ เป็นอย่างน้อย

เป้าหมายของค่ายที่ ๒ (ปี ๑ จะขึ้นปี ๒) คือ ให้นักเรียนทุนได้เรียนรู้จากกรณีความสำเร็จของศาสตร์พระราชา โดยการศึกษากระบวนการแก้ปัญหาหรือหลักการทรงงานจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คลิกที่นี่) และศึกษาจากความสำเร็จของชุมชนชาวบ้านที่ได้น้อมนำหลักปรัชญของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำรงชีวิต  สรุปสั้นๆ คือ พานักเรียนทุนไปดูให้รู้กับตาว่าเมื่อน้อมนำมาใช้แล้วดีอย่างไรผู้คน หรือก็คือ "พาไปดูความสำเร็จ"

เป้าหมายของค่ายที่ ๓ (ปี ๒ จะขึ้นปี ๓) คือ ทำให้นักเรียนทุนได้เห็นสภาพปัญหาจริง ลงพื้นที่จริง ได้เรียนรู้ที่มาและสาเหตุของปัญหา โดยจะเลือกพื้นที่ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้คือมูลนิธิปิดทองหลังพระ กำลังศึกษาและใช้ศาสตร์พระราชามาแก้ปัญหา กล่าวคือ นักเรียนทุนจะได้เห็นกระบวนการนำศาสตร์พระราชามาแก้ปัญหานั่นเอง

เป้าหมายของค่ายที่ ๔ (ปี ๓ จะขึ้นปี ๔) นักเรียนทุนจะถูกพาไปยังสถานที่ๆ กำลังเป็นปัญหา แล้วมอบภารกิจว่าให้ช่วยแก้ปัญหานั้นๆ  ซึ่งนักเรียนทุนจะได้ทดลองใช้ศาสตร์พระราชาและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ตนเองได้ฝึกฝน มาใช้แก้ปัญหาจริงๆ ด้วยตนเอง

ปกติจะจัดค่ายในช่วงหยุดภาคฤดูร้อนที่แต่ก่อนช่วงปิดเทอมตรงกับฤดูร้อนจริงๆ (มีนาคม - พฤษภาคม) แต่ตอนหลังตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ มีการปรับเปลี่ยนเวลามาเป็นฤดูฝน (พฤษภาคม - สิงหาคม)  นี่คือเหตุผลว่าทำไมปีนี้กำหนดช่วงเวลาไว้ที่ ๑๐ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ณ ๒ สถานที่ คือ "หนองเลิงเปือย" (๑๒-๒๐ กรกฎาคม) และศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน (อ่านที่นี่) (๒๑-๓๐ กรกฎาคม) โดยเริ่มรวมพลเตรียมพร้อมกันที่ว่าป่าเหล่ากกหุ่ง อ.มัญจาคีรีก่อน (๑๐่-๑๑)

วัตถุประสงค์ของค่ายศึกษาพัฒนาหนองเลิงเปือย

การจัดค่ายทุนพอเพียงรุ่น ๒-๓ เพื่อศึกษาการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญดังนี้

๑) เพื่อให้นักเรียนทุนพอเพียง ได้ศึกษาสภาพปัญหาและภูมิสังคมของชุมชนรอบบริเวณหนองเลิงเปือย
๒) เพื่อให้นักเรียนทุนพอเพียง ได้ศึกษากระบวนการน้อมนำศาสตร์พระราชามาแก้ปัญหาและพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย
๓) เพื่อให้นักเรียนทุนพอเพียง ได้ศึกษาผลผลิตและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
๔) เพื่อให้นักเรียนทุนพอเพียง ได้แสดงความสามารถในการสร้างสื่อหรือชิ้นงานเพื่อถ่ายทอดการนำศาสตร์พระราชามาพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย
๕) เพื่อปลูกฝังจิตอาสา และบ่มเพาะอุดมการณ์ในการเสียสละเพื่อส่วนรวม

เนื่องจากการจัดค่ายครั้งนี้ เป็นการจัดร่วมกันของกลุ่มเป้าหมายของค่ายที่ ๒ และค่ายที่ ๓ ตามที่เขียนไว้ข้างต้น การออกแบบกิจกรรมและกลุ่มคนที่จะมาเกี่ยวข้อง ต้องให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทั้ง ๕ ข้อนี้ด้วย ขอมากล่าวต่อในบันทึหน้าก็แล้วกันนะครับ

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ศาสตร์พระราชา _ ๐๒ : ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (๒)

ในบันทึกศาสตร์พระราชา _ ๐๑ ผมตีความว่า สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นตัวอย่างของหลักการทรงงานที่โดดเด่นเรื่อง "One Stop Service" ที่รวบรวมเอา One Stop Service คือ เบ็ดเสร็จในที่เดียว แหล่งผลิต ศึกษา วิจัย และเป็นทั้งแหล่งพักผ่อนหย่อนใจให้ผู้มาพักท่องเที่ยว   บันทึกนี้ผมจะเขียนสำหรับผู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางมาศึกษาที่นี่ ท่านจะได้วิธีที่เจ้าหน้าที่นำชม ซึ่งผมเองได้สัมผัสมาด้วยตนเอง

จะเริ่มที่ ศูนย์ประสานงานและนิทรรศการ ๙ มหามงคล

การทัศนศึกษาเริ่มด้วยการมาฟังบรรยายภาพรวม ประกอบฉายวีดีทัศน์แนะนำ (ด้านล่าง) ก่อนจะเปิดให้เข้าศึกษาจากนิทรรศการ ๙ มหามงคล และประวัติของการพัฒนาตั้งแต่มีปัญหา  "ฟ้าพิโรจ" และในหลวงทรงลงมาช่วยเหมือน "ฟ้าประทาน" จนเมื่อเวลาผ่านไป ๑๕ ปี เกิดอานิสงค์สำเร็จจน "ไพร่ฟ้าหน้าใส" และเป็นแหล่งศึกษา เป็นที่พึ่งพาของประชาชนต่อเนื่องมากว่า ๓ ทศวรรษ (๓๕ ปีแล้ว)



๙ มหามงคล (the Royal Blessing) ที่แสดงไว้ในนิทรรศการ ได้แก่


๑) ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ทรงปลูก วิทยากรบอกว่า ในหลวงทรงปลูกต้นไม้นี้เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๒๓ นับเป็นต้นไม้ต้นแรกที่ยั่งรากลงตรงพื้นที่แถบนี้





๒) ห้วยเจ็ก  เป็นอ่างเก็บน้ำแห่งแรกที่ในหลวงทรงโปรดให้ขุดบนพื้นที่เดิมที่เคยเป็นที่ปลูกฝักของเจ็ก (ชาวจีน) โดยพระราชทานเงินที่ราษฎรน้อมถวายเมื่อคราวเสด็จศูนย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ และเริ่มก่อสร้างเมื่อ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๒


๓) สวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสวนพฤษาศาสตร์ของภาคตะวันออกบริเวณเขาหินซ้อน เป็นสวนป่าสมุนไพร


๔) ศาลาเทิดพระเกียรติ เป็นศาลาทรงงานที่จังหวัดฉะเชิงเทราสร้างถวายเมื่อคราวเสด็จครั้งแรก


๕) พระตำหนักสามจั่ว ในหลวงทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์  สร้างบ้านพักรับรอง เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ออกแบบด้วยพระองค์เอง เรียกว่า "บ้านสามจั่ว"


๖) พลับพลาพระราม ราษฎรอำเภอพนมสารคาม สร้างถวายเพื่อเป็นอาคารรับเสด็จ โดยการนำของนายวิเชียร ต้นเจริญ ทรงเรียกว่า "พลับพลาพระราม"


๗) เครื่องสีข้าวพระราชทาน  เป็นเครื่องสีข้าวรุ่น ๑๐๗๐ ที่น้อมเกล้าฯ ถวายโดยบริษัททาซาเก้ เอ็นจิเนียรื่ง ประเทศญุี่ปุ่น เริ่มใช้งานเมื่อปี ๒๕๒๗




๘) หญ้าแฝก  ในหลวงทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝกเป็นครั้งแรกเมื่อ ๒๕๓๔


๙) ทฤษฎีใหม่


หลังจากนั้นก็เป็นการทัศนศึกษาผ่านฐานการเรียนรู้แต่ละฐานต่างๆ  จะมาเล่าให้ฟังในบันทึกต่อๆ ไปนะครับ





วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ศาสตร์พระราชา _ ๐๑ : ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (๑)


วันที่ ๒๕-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ มีโอกาสเรียนรู้แบบดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ในการมาร่วมค่าย "พอเพียงจิตอาสา" ที่มูลนิธิยุวสถิรคุณ เป็นเจ้าภาพจัดเพื่อคัดเลือกนักเรียนทุนเศรษฐกิจพอเพียง ปีที่ ๕ (ดูได้ที่นี่) ผมได้เรียนแบบครบ จบในจุดเดียว เกี่ยวกับตัวอย่างตัวอย่างของการนำ "ศาสตร์พระราชา" มาแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จึงอยากจะนำมาบันทึกไว้เผื่อมีประโยชน์ต่อไป อย่างน้อยคือใครที่อยากรู้เรื่องนี้ ก็มาเริ่มคลิกจากที่นี่ได้เลย

ศาสตร์พระราชา คืออะไร?

ตามที่ผมสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต พบว่า ผู้ให้คำนิยามคำว่า "ศาสตร์พระราชา" คือ ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิสกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ท่านใช้คำว่า "ศาสตร์พระราชา" แทน "องค์ความรู้ของในหลวง" ในที่นี้ ผมตีความว่า ท่านเน้นหมายถึง องค์ความรู้ที่เป็นปัญญาจากกระบวนการทรงงานในโครงการพระราชดำริต่างๆ ซึ่งมีกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ดูแลอยู่  เช่นดังตอนหนึ่งที่ท่านบอกว่า


"...ศาสตร์พระราชา คือ การลงไปศึกษาเรียนรู้จากชุมชน ให้ชุมชนบอกว่าปัญหาคืออะไร ความต้องการของชาวบ้านคืออะไร พระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้เห็นมาตลอด..." (คลิกอ่านที่นี่ และนที่นี่ครับ))

ท่านเรียกองค์ความรู้จากโครงการพระราชดำริขององค์สมเด็จย่าว่า "ศาสตร์สมเด็จย่า" และเช่นเดียวกันท่านเรียก "ศาสตร์พระราชินี" และ "ศาสตร์สมเด็จพระเทพฯ" กับโครงการตามพระราชดำริของแต่ละพระองค์

ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของ ม.ร.ว.ดิศนันดา ดิสกุล แล้วสังเคราะห์เกี่ยวกับ ศาสตร์พระราชาในการลงไปช่วยแก้ปัญหาของประชาชน ที่ท่านเน้นย้ำมากๆ ดังนี้
  • ต้องลงไปดูก่อนว่าปัญหาของชาวบ้านคืออะไร ความต้องการคืออะไร
  • เมื่อรู้ปัญหาของเขา ให้เราเป็นเสนาธิการให้เขา เป็นลูกน้องชาวบ้าน คือให้เรานำมาคิด เอาศาสตร์ต่างๆ มาแก้ไข มาศึกษาอย่างถ่องแท้
  • เมื่อศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้แล้ว ก็นำผลการศึกษาส่งคืนให้ชุมชนว่า จากศาสตร์พระราชา สมเด็จย่า พระราชินี หรือศาสตร์สมเด็จพระเทพฯ น่าจะแก้ปัญหาอย่างนี้ๆ ดังตัวอย่างโครงการนี้ แล้วถามว่า คุณเชื่อไหม? คุณเอาไหม?
  • ุถ้าชาวบ้านเอา ก็พาเขาไปดูโครงการของพระองค์ท่าน ให้ได้ไปเห็น ไปสัมผัส ให้ได้ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่  ... ท่านบอกว่า ชาวบ้านไม่โง่ ต้องบอกว่า "โคตรฉลาด" เพียงแต่ขาดโอกาสในการเรียนรู้ 

โดยสรุป คำว่า "ศาสตร์พระราชา" ก็คือองค์ความรู้ของพระราชา คือองค์ความรู้ของในหลวง ที่ทรงช่วยเหลือปวงชนคนไทย ผู้อ่านควรเริ่มศึกษาศาสตร์พระราชา จากข้อมูลที่ กปร. สรุปไว้ที่นี่  ตั้งแต่แนวคิดและทฤษฎี ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการทรงงาน ขั้นตอนการทรงงาน และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด

กรณีตัวอย่าง "ศาสตร์พระราชา" ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา (ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง ๑:๓๐ นาที ห่างจากมหาสารคามประมาณ ๕ ชั่วโมง) ผมฟังความเห็นจากผู้ใหญ่หลายท่านบอกตรงกันว่า ที่นี่เป็นศูนย์ศึกษาพัฒนาการที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการเรียนรู้ศาสตร์พระ ราชามากที่สุด เนื่อง ณ ที่นี้มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ให้เห็นกับตาว่า ศาสตร์พระราชาสามารถช่วยฟื้นสภาพจาก "ป่าหาย น้ำแห้ง ดินเลว" กลายเป็นสวนป่าสีเขียว เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศธรรมชาติ เป็นแหล่งเรียนรู้การนำศาสตร์สากลมาหนุนนำศาสตร์ชุมชน จนผู้คนประชาชนในพื้นที่ได้รับ "ประโยชน์สุข" กันถ้วนทั่ว

วิทยากร เล่าว่า แต่ก่อนโน้นเมื่อ ๗๐ - ๘๐ ปีที่แล้ว แถวนี้เป็น่าที่อดุมสมบูรณ์มาก เรียกว่าป่าพนมสารคาม เทียบเท่ากับเขาใหญ่ในสมัยนี้ทีเดียว มีพื้นที่ติดกับนหนองพอก อ่างลือไนที่มีป่ามีช้างเกือบ ๓๐๐ ตัว ต่อมามีการสัมปทานป่าไม้ ไม้ขนาดใหญ่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านเข้ามาถากถางจับจองพื้นที่ ตัดไม้ขนาดกลางแล้วเผาเอาพื้นที่เพาะปลูก ปลูกอะไรๆ ก็งาม ข้าวโพดผักใหญ่ ปลูกมันสัมปะหลังหัวใหญ่ไม่ต้องใส่ปุ๋ย เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่นี้กลายเป็นดินเสื่อมโทรม เป็นดินปนทราย แม้แต่มันสัมปะหลังยังปลูกไม่ขึ้น ดังเรื่องเล่าที่ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ที่มูลนิธิยุวสถิรคุณได้ถอดเทปออกเผยแพร่ ตอนหนึ่งว่า...

"....สมัย ก่อนที่นั่นเป็นดินปนทราย ปลูกได้อย่างเดียว คือ มันสัปะหลัง แล้วสมัย ๓๐ ปีก่อนโน้น ถ้าปีไหนราคามันต่ำกว่าบาทนึง ชาวบ้านเขาบอกผมเองครับ เขาบอกว่าต้องปล้นกินครับ ใครขับรถผ่านก็เอาปืนแก๊บไปยิงให้รถคว่ำ แล้วก็เอาของในรถ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้ว ทำตามโครงการพระราชดำริที่ไปช่วยชาวบ้าน ผมไปเยี่ยมชาวบ้าน เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ผมส่งลูกเรียนมัธยม เรียนอุดมศึกษาได้แล้วครับ โดยเอาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้...."



ปี ๒๕๒๒ กำนันผู้ใหญ่บ้านและราษฎรรวม ๗ ราย ได้รวมตัวกันถวายที่ดินผืนแรก ๒๖๔ ไร่ ให้กับในหลวง ด้วยหวังให้ทรงสร้างเป็นพระตำหนักที่ประทับ เพราะคุยกันว่าในหลวงเสด็จไปที่ใดที่นั่นจะเจริญรุ่งเรือง ทรงถามราษฎรผู้ถวายว่า "ถ้าไม่สร้างพระตำหนักแต่จะสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเรื่องการเกษตรจะเอา ไหม เขาตอบว่าก็ยินดี..."   จึงทรงให้สร้างเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา เกิดเป็นแหล่งสาธิตศาสตร์พระราชา ทรงใช้เวลา ๑๕ ปีทำให้เกิดศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่อุดมสมบูรณ์แผ่ขยายออกไปถึงไกลกว้างถึง ๑,๘๙๕ ไร่ เช่นทุกวันนี้  (อ่านประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดได้ที่นี่ครับ)

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ เป็นตัวอย่างของการทำงานอย่างเป็น "องค์รวม" มองทุกอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยง ส่งเสริม สนับสนุน สร้างทุนให้พื้นที่ทั้งป่าไม้ ดิน น้ำ จนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน การทำงานร่วมกันของ ๔ กระทรวง ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ พัฒนาที่ดิน วิชาการเกษตร ส่งเสริมและพัฒนา ส่งเสริมสหกรณ์ ส่งเสริมการเกษตร ปศุสัตว์ งานประมง งานชลประทาน งานสวนพฤษาศาสตร์ สวนรุกขชาติ งานเพาะชำกล้าไม้ งานพัฒนาชุมชน และวิทยาลัยการเกษตร หรือเรียกหลักการทรงงานนี้ว่า One Stop Service คือ เบ็ดเสร็จในที่เดียว เป็นทั้งแหล่งผลิต ศึกษา วิจัย และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจให้ผู้มาพักท่องเที่ยว

ตลอดการเข้าค่าย ผมตั้งคำถามในใจหลายข้อ เพื่อคลายความสงสัยแกมความประทับใจว่า ทรงทำได้อย่างไร เปลี่ยนจากผืนทรายให้กลายเป็นสีเขียว ท่านทรงทำสิ่งใดก่อน ทำสิ่งใดตามมา คือลำดับขั้นตอนในการพัฒนา จึงทำให้ดินทรายกลายมาสมบูรณ์แบบนี้

สะท้อนการเรียนรู้จากการดูงานครั้งแรก

สิ่งที่ได้เรียนรู้มีมาก แต่หากสังเกตว่าอันไหนคือความรู้ใหม่ อันไหนคือความประทับใจที่สุด สำหรับผมแล้วมีดังนี้ครับ
  • ผมไม่เคยไป เมื่อมาจึงได้เห็น เมื่อได้เห็นจึงหมดคำถามว่า "อยู่ที่ไหน เดินทางมาได้อย่างไร มัลักษณะอย่างไร ฯลฯ" 
    • ... ซึ่งคนที่ไม่เคยไป คงไม่สามารถเข้าใจได้จากการอ่านและดูภาพ ... ดังนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้นักเรียน ได้เข้าถึงความเข้าใจเหล่านี้ คือ ครูหรือผู้ปกครองต้องพาไปครับ 
    • ... เมื่อเขียนถึงตรงนี้ ความคิดก็ผุดธรรมะของหลวงพ่อชา ท่านว่า "... ใครที่มวัดหนองป่าพงในวันนี้ ก็หมดคำถาม ไม่ต้องถามอีกว่า วัดหนองป่าพงอยู่ที่ไหน มีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะได้เห็นด้วยตนเองแล้ว....
  • หลังจากศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบดีแล้ว ในหลวงทรงเริ่มจาก "น้ำ" ทรงให้ขุดอ่างห้วยเจ็คขึ้นเพื่อเก็บน้ำไว้ โดยจัดให้เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของที่ดินที่ได้รับถวายมา ... ตรงนี้ผมตีความว่า ท่านทรงคิดไกลไปถึงว่า ขนาดของอ่างคงต้องใหญ่เพียงพอที่จะเก็บน้ำไว้ได้ตลอดปีให้เหมาะสมกับปริมาณฝนที่มี และคงมีแผนที่จะขยายพื้นที่ออกไปอีกและรวมเอาสวนสมุนไพรรุกขชาติเข้าด้วย  และตอนหลังท่านทรงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ขยายเพิ่มเติมอีก
  • สิ่งที่สองที่ต้องทำหากจะนำเอาตัวอย่างเขาหินซ้อนไปใช้คือ "ปลูกต้นไม้" ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นสวนป่า มีนานาพันธุ์พืชอยู่เต็มพื้นที่ เรียกว่า "สวนป่า" ไม้ ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง 
  • ผมตั้งคำถามในใจด้วยว่า หากไม่มี "ศูนย์รวมใจ" เหมือนในหลวง หน่วยงานต่างๆ จากหลายกระทรวง จะมาร่วมใจ ทำงานประสานกันได้อย่างนี้หรือไม่ ... หากทุกหน่วยงานของราชการไทย นำเอาตัวอย่าง "ศาสตร์พระราชา" ข้อนี้ว่า "One Stop Service" นี้ไปใช้ คงจะเจริญจากความสามัคคีได้แน่ 
 อ่างห้วยเจ็ค



วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้นำในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีโอกาสได้ไปเรียนรู้จาก "กูรู" เรื่องการปลูกสวนป่า ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ปราชญ์ที่ได้รับรางวัลพระธาตุนาดูนทองคำ ประจำปี ๒๕๕๐ (ที่นี่) ใครยังไม่รู้จักท่านลองสืบค้นออนไลน์ จะพบได้ไม่ยากเลยครับ เพราะเท่าที่ผมค้นดู ท่านเป็น "กูรู" ประเภท "กูรูบอก" (คือ ผู้รู้ที่เป็นบล็อกเกอร์) ที่มีผลงานทั้งเก่าใหม่ไม่ขาดสาย ผู้สนใจสามารถติดตามงานเขียนของท่าน (ท่านเขียนทุกวัน) ได้ที่หน้าเฟส Sutthinun Pratchayapruet 

ความจริงการไปเยี่ยมท่านครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายจะไปเรียนรู้เรื่องป่าของปราชญ์ผู้ใหญ่ แต่ที่ตั้งใจคือไปเรียนรู้หลักสูตร "ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร" ของสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งวันที่ ๕-๖ มิ.ย. นี้ท่านคณบดีและคณะอาจารย์มาใช้พื้นที่มหาชีวาลัย เป็นแหล่งเรียนรู้ภาคสนามสำหรับนิสิต ชั้นปี ๒ ของหลักสูตรฯ  ผมทราบเรื่องจากครูบาสุธินันท์ทางโทรศัพท์หลังจากเรียนท่านว่า มหาวิทยาลัยมหาสารคามประสงค์จะพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาผู้นำด้านการขับเคลื่อน "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในระดับปริญญาตรี  ท่านบอกผมว่า ไม่ต้องไปเริ่มใหม่.. มาเรียนรู้จากคนที่เขาทำมาก่อน แล้วย้อนกลับไปพัฒนาในบริบทของตน จะเห็นผลเร็วกว่า นอกจากนี้ท่านยังเสนอแนะให้ทำ MOU ร่วมกันหลายๆ ฝ่าย เช่น จุฬาฯ มมส. มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิมั่นพัฒนา เป็นต้น

ผมมีโอกาสได้รู้จักกับผู้ใหญ่ของธนาคารไทยพานิชย์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ CSR และการอุดหนุนทางการศึกษา หลังจากเล่าความตั้งใจของมหาวิทยาลัยที่จะสร้างหลักสูตร "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ขึ้นในมหาวิทยาลัยให้ท่านฟัง ท่านติดต่อไปยังท่านอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทันที ท่านอาจารย์ก็เอื้ออำนวยส่งไฟล์หลักสูตรให้ทันทีเช่นกัน ขอบพระคุณท่านไว้นะโอกาสนี้ด้วยครับ 

จนเป็นที่มาของวันนี้ ที่ผมได้มีโอกาสสนทนาเรียนถามท่านคณบดีสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร รองศาสตราจารย์ น.สพ.ดร.คณิศักดิ์ อรวีระกุล ผู้รับผิดชอบหลักสูตรฯ นี้ แม้ท่านจะอธิบายเพียงรอบเดียวเกี่ยวกับความมาของการพัฒนาหลักสูตรและความเป็นไปของการผลิตบัณฑิต แต่ผมมั่นใจว่าเข้าใจในหลักคิดของการพัฒนาหลักสูตรนี้ ไม่ใช่เพราะผมฟังดี แต่เป็นเพราะวิธีที่ท่านอธิบายของท่าน เป็นลำดับขั้นตอน เชื่อมโยงร้อยเรียงได้อย่างเยี่ยมยิ่ง

หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร

ก่อนที่จะเล่าให้ฟังบทถอดความจากการเล่าเรื่องของท่านคณบดี ขอคัดลอกส่วนสำคัญๆ ของหลักสูตรฯ คือปรัชญา วัตถุประสงค์ มาไว้ตรงนี้ดังนี้ครับ

ปรัชญา



มุ่งพัฒนาการศึกษาสหสาขาวิชาบูรณาการการเรียนการสอน ผู้เรียนต้องได้รับโอกาสให้ฝึกปฏิบัติ ทดลอง และแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่จริงมากกว่าการเรียนในห้องเรียน ทั้งนี้ บัณฑิตต้องมีคุณลักษณะเฉพาะที่พร้อมเพื่อเป็นผู้นำชุมชนรุ่นใหม่ในการเป็น ผู้ประกอบการด้านอาหารและการเกษตรรุ่นใหม่ระดับชุมชน (Agricultural entrepreneur)” หรือเป็น ผู้นำท้องถิ่นรุ่นใหม่เพื่อการปฏิรูประบบการผลิตการเกษตรและการอาหารในระดับชุมชน

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
  • เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถรู้รอบใน ศาสตร์และศิลป์ของห่วงโซ่คุณค่าระบบการผลิตอาหาร ตั้งแต่กระบวนการสรรหาวัตถุดิบ  ขั้นตอนการผลิต ขั้นตอนการแปรรูป การจัดการการขนส่ง การค้า การตลาด


  • เพื่อพัฒนาทักษะและความคิดวิเคราะห์ลงสู่การปฏิบัติจริง ในการเป็นผู้ประกอบการกิจการด้านอาหารและการเกษตร (Agricultural entrepreneur)


  • ปลูกฝังให้มีจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านความปลอดภัย ความมั่นคงทางอาหาร ด้วยมาตรฐานการผลิตและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม


  • มีความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาและการสืบค้นความรู้  และมีความใฝ่รู้ตลอดชีวิต

คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิต

บัณฑิตที่พึงประสงค์ต้องเพียบพร้อมด้วยคุณลักษณะบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเสริมด้วย ใจรักที่จะปฏิบัติงานในพื้นที่ระดับชุมชนของประเทศ  มุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสามารถของเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และ พร้อมที่จะพัฒนาตนเองเป็นผู้ประกอบการกิจการด้านอาหารและเกษตรกรรมรุ่นใหม่ของประเทศ มีความรู้รอบใน ศาสตร์และศิลป์ของห่วงโซ่คุณค่าระบบการผลิตอาหาร ที่มีทักษะและความคิดวิเคราะห์ลงสู่การปฏิบัติจริง มีจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการกิจการด้านอาหารและการเกษตร (Agricultural entrepreneur) ด้วยการสร้างงานของตนเอง มีขีดความสามารถทางการบริหารจัดการควบคู่   ไปกับจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านความปลอดภัย ความมั่นคงทางอาหาร ด้วยมาตรฐานการผลิตและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาและการสืบค้นความรู้  และมีความใฝ่รู้ตลอดชีวิต


ถอดความจากเรื่องเล่าของท่านคณบดี


ผมฟังว่า...  

เบื้องแรกของความคิดออกมาจากจิตสำนึกรับผิดชอบของผู้ใหญ่คืออธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่จุฬาฯ ยังไม่ได้มีส่วนช่วยพัฒนาบัณฑิตที่จะออกไปเป็นที่พึ่งด้านการเกษตรเลย จึงได้มอบหมายให้ศาสตราจารย์อรรณพ คุณาวงษ์กฤต เป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาหลักสูตรนี้ กระบวนการร่างหลักสูตรฯ จึงเกิดขึ้น เริ่มจากการระดม "ผู้รู้" กลุ่มหนึ่งมา ระดมสมองว่า "หากจุฬาฯ จะเล่นเรื่องเกษตร จะทำเรื่องอะไร จะไปทางไหน..." 

เมื่อสำรวจปัญหาด้านการเกษตรของไทย พบว่าเกษตรกรไทยนั้นขาดปัญญาและความสามารถด้านการค้าหรือการพาณิชย์ เกษตรกรไทยขาดความเข้าใจเรื่อง "ห่วงโซ่คุณค่าของสินค้าการเกษตร" ที่ประกอบด้วยการผลิต การแปรรูป และการค้าการตลาด หากจะแก้ปัญหานี้ ต้องสร้างเกษตรกรยุคใหม่ที่เข้าใจห่วงโซ่คุณค่าของสินค้าการเกษตรทั้งหมด อะไรที่ผู้แปลรูปรู้ เกษตรกรต้องรู้ อะไรที่พ่อค้ารู้ เกษตรกรต้องรู ้ เกษตรกรต้องรู้เรื่องลอจิสติก (logistic system) เรื่องการแปรรูป การตลาด การค้าขาย บัญชี และศาสตร์ด้านการบริหารจัดการ ดังนั้นคุณลักษณ์ของบัณฑิตที่พึงประสงค์จึงต้องสมดุลอยู่ตรงกลางระหว่าง "วิทยาศาสตรบัณฑิต" และ "ศิลปศาสตรบัณฑิต" หรือก็คือต้องมีทั้งศาสตร์ด้านการผลิตและการแปรรูป และศิลปะของการค้าขายและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้น่าซื้อ  


"...เมื่อมาพิจารณาพบว่า คนที่รู้ลึกเรื่องศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ก็มี คนที่รู้เกี่ยวกับศาสตร์เกี่ยวกับการค้าและการจัดการซึ่งเป็นศิลปศาสตร์  ดังนั้น จึงน่าจะต้องหาความสมดุลระหว่างทั้งสองด้านครึ่งต่อครึ่ง ดังนั้นนิสิตจึงต้องเรียนทั้งสองศาสตร์ ได้แก่ พืชสวน พืชไร่ ปศุสัตว์ การจัดการฟาร์มพืชฟาร์มสัตว์ หลักการแปรรูปผลิตผลจากพืชจากสัตว์ แปรรูปได้ แล้วก็ต่อด้วยการนำไปขาย การหาตลาด และ การสร้างแบลนด์หรือคุณภาพของสินค้าให้น่าซื้อน่าใช้ โดยจัดการเรียนรู้ตามไลน์แบบนี้ เช่น วันนี้ที่มาเรียนรู้มหาชีวาลัยนี้ก็เกี่ยวกับการจัดการ บัณฑิตเหล่านี้ ต้องออกมาเป็นผู้ประกอบการ เป็นผู้จัดการสินค้าเกษตรชุมชน..." 

อีกประการสำคัญของคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์คือ ต้องเป็นเกษตรกรผู้ประกอบการผู้นำชุมชน เป็นนักจัดการทรัพยากรชุมชน ซึ่งต้องเป็นคนที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อชุมชน ดังนั้นความเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นเรื่องจำเป็น ศาสตร์พระราชาเกี่ยวกับการน้อมนำไปใช้ด้านการเกษตร เกษตรผสมผสาน เกษตรประณีต เกษตรอินทรีย์ เกษตรสีเขียว หรือการเกษตรแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมๆกับการปลูกฝังจิตสำนึกและจิตวิญญาณของความรักบ้านเกิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องรับนิสิตมาปลูกฝังใหม่ตั้งแต่ต้น ไม่สามารถที่จะรับคนที่เรียนจบหลักสูตรการเกษตรทั่วไปมาต่อยอดได้

"...จึงต้องใส่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องชุมชน เรื่อง "พอเพียง" เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทร์ย์ เกษตรสีเขียว หรือเกษตรแบบเป็นมิตร จึงเข้ามา เพื่อมุ่งปลูกฝังคนที่มีจิตวิญญาณสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน
กระบวนการเกี่ยวกับการเรียนการสอนจึงต้อง เริ่มรับมาปลูกฝังเองตั้งแต่แรก ไม่ใช่รับบัณฑิตจบเกษตรเข้ามาต่อยอด..."


"...อีกอันหนึ่งที่มันหายไปคือ ความเป็นชุมชน เราต้องปลูกฝังนิสิตให้เคารพทั้งมิติวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชน โดยให้รู้อย่างเท่าทันประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ที่ชุมชนทำอยู่ เช่น พิธีแรกนาขวัญ เรื่องการบูชาพระแมโพสพตั้งท้อง ทำขวัญข้าว ฯลฯ นิสิตต้องรับรู้และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้งมงาย แต่เป็นกุศโลบายสอนให้ลูกหลานใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเคารพ ทำอย่างไรถึงจะอยู่ได้นาน ต้องอนุรักษ์ จิตสำนึกอนุรักษ์ต้องมี..."

การรับนิสิต

จุฬาฯ รับนิสิตเข้าสู่หลักสูตรนี้ปีละประมาณ ๕๐ คน ทุกคนมีทุนการศึกษาในรูปแบบต่างๆ จุฬาฯเองจะุอุดหนุนทุนการศึกษาให้กับนิสิตทันที ๒๐ ทุน ผมเข้าใจว่าส่วนที่เหลือมาจากการอุดหนุนจากเงินทุนจากภาคีต่างๆ

ทราบว่าปีนี้ (๒๕๕๘) เป็นปีแรกที่มีบัณฑิตสำเร็จการศึกษา สองปีการศึกษาที่ผ่านมา มีการจำกัดว่า นิสิตที่จะมาเรียนต้องเกี่ยวข้องกับเกษตรกร เช่น เป็นบุตรหลานเกษตรกร มีพื้นที่แปลงเกษตรที่จะกลับไปทำหลังสำเร็จการศึกษา  เพื่อมุ่งพุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ให้มากขึ้น

กระบวนการรับเข้า รับเอาผ่านระบบสอบโควต้ารับตรงปกติของมหาวิทยาลัย แต่ละปีมีผู้สนใจเข้ามาสมัครเยอะกว่ากำหนดมาก มีกระบวนสอบสัมภาษณ์ที่เข้มข้น และมีการลงไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมแปลงนาสวนของนิสิตทุกคน

เนื่องจากแปลงฝึกของหลักสูตรฯ อยู่ที่ศูนย์การเรียนรู้ที่จังหวัดน่าน ดังนั้น นิสิตกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จึงมุ่งไปยังพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือเป็นหลัก 

การจัดการเรียนรู้

ชั้นปีที่ ๑ นิสิตทั้งหมดจะมาเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งวิชาศึกษาทั่วไป ที่กรุงเทพฯ ปี ๒-๔ ลงไปประจำที่ศูนย์การเรียนรู้จังหวัดน่าน โดยระบบการเรียนการสอนทางไกล ออนไลน์ ชั้นปี ๒ จะมีการศึกษาดูงาน และตระเวนเรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่แปรรูปไปถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั่วประเทศ  ปี ๓-๔ นิสิตทุกคนต้องเป็นผู้ประกอบการเอง

ส่วนสาเหตุและความเหมาะสมของสถานที่ ท่านคณบดีเล่าให้ฟังว่า

"...เมื่อชัดว่าบัณฑิตที่พึงประสงค์เป็นแบบนี้ จึงมองหาวิธีในการจัดการเรียนการสอน พอดีว่าจุฬาฯ มีศูนย์การเรียนรู้อยู่ที่จังหวัดน่าน ซึ่งมีแผนว่าจะพัฒนาให้เป็นมหาวิทยาลัยน่าน แต่ตอนหลังเมื่อมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเกิดขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องสานต่อตามแผนนั้น กอปรกับจังหวัดน่านมีบริบทปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางอาหารของจังหวัดน่าน นำเข้าอาหารเกือบทั้งหมด 

ถ้าไม่มีใครส่งไข่ไก่ให้ ไข่จะหมดใน ๓ วัน จะไม่มีข้าวมันไก่กินใน ๒ วัน  ในจังหวัดปลูกเฉพาะเข้าโพดไว้เลี้ยงสัตว์เท่านั้น และสร้างปัญหาทำลายป่าทำให้เขาโล้นไปเรื่อยๆ แต่มีจุดเด่นเรื่องความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม เช่น ชมรมคนเมืองน่าน เข้ามาร่วมกัน..."

เกี่ยวกับอาจารย์

ท่านคณบดีบอกว่า ตอนทำหลักสูตรแรกๆ  ทางจุฬาฯ ก็ระดมอาจารย์จากหลายๆ สาขามาร่วมกันคิด เชิญอาจารย์ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกษตร พบว่ามีอาจารย์กว่า ๒๐๐ คน เข้ามาร่วมกันคิดร่วมกันทำ  อย่างไรก็ดีสำนักวิชาพัฒนาทรัพยากรก็มีคณาจารย์ประจำที่รับผิดชอบหลักสูตรนี้โดยตรงด้วย ท่านบอกว่า







"...หลักสูตรฯ มีอาจารย์ประจำหลักสูตรของเราเอง เพราะสิ่งสำคัญคือต้องมีอาจารย์ที่เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่าง หากได้อาจารย์ที่มีจิตวิญญาณและมีความคิดที่จะกลับคืนท้องถิ่นด้วย จุฬาฯ โชคดีที่คณาจารย์ในหลักสูตรเป็นแบบนี้เกือบทั้งหมด..."