วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

สศพ. _ ๐๖ : รูปแบบการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพ ที่ ๒๐๖ (๒)

บันทึกที่ ๑

จากที่ผมเล่าไว้ในบันทึกแรก ท่านจะเห็นจุดเด่นสำคัญ ๒ ประการที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนชุมชนห้วยค้อฯ  ๑ คือ เด็กหญิงเบญจมาศ สิงห์น้อย ที่เติบโตมาด้วยความรักและภูมิใจในโรงเรียนและท้องถิ่น พอกลับมาเป็นครูจึงเป็นครูที่ "รู้ รัก" และนำความ "สามัคคี" มาสู่นักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นประเด็นที่ ๒ คือ ความเข้มแข็งของชุมชน โดยเฉพาะเป็นชุมชนที่สนใจและใส่ใจในคุณภาพการศึกษา ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อให้ได้คนมีอุดมการณ์ที่มีความมุ่งมั่นและต้องการสร้างสรรค์และพัฒนาโรงเรียนอย่างจริงจัง


ผอ. สวัสดิ์ มะลาหอม

ปี ๒๕๕๐ ผอ.สวัสดิ์ มะลาหอม ย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนด้วยจิตอาสาและความมุ่งมั่นจะพัฒนาโรงเรียนอย่างจริงจัง ตรงกับความต้องการของชุมชนและเป็นคนที่กรรมการสถานศึกษาพึงพอใจมาก บุคลิกและวิธีการทำงานของท่านก็เน้นความร่วมมืออย่างเข้าใจ โดยสิ่งแรกที่ทำคือจัดประชุมทำความเข้าใจและกำหนดเป้าหมายร่วมกับชุมชนว่า นักเรียนทุกคนที่จบจากที่นี่ต้องเป็นคนดี และร่วมกันอาสาพัฒนาโดยยึดเกณฑ์มาตรฐานของโครงการโรงเรียนดีใกล้บ้าน ความสำเร็จจากการระดดมทุนในโครงการผ้าป่าสามัคคีในครั้งนั้น สะท้อนถึงความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อโรงเรียนอย่างชัดเจน เพียง ๒ ปี โรงเรียนก็สามารถบรรลุเป้าหมายในใจของ ผอ.สวัสดิ์ ในขณะนั้น คือ โรงเรียนมีสื่อการเรียนการสอนที่เพียงพอ มีอุปกรณ์ที่ครบครัน มีครูดีๆ เก่งๆ ครบทุกกลุ่มสาระ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงทุกประการ ผ่านการประเมินเป็น "โรงเรียนในฝัน" ตามโครงการโรงเรียนดีใกล้บ้าน (๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒) ด้วยความเชื่อว่า หากทุกอย่างครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด เด็กๆ จะเก่งและดีตามที่ตั้งใจไว้ ทุกคนภูมิใจในความสำเร็จครั้งนี้มาก เพราะการบริจาคของทุกคนเป็นผลให้โรงเรียนไม่มีหนี้สินแม้สักบาทเดียว ท่านผอ. บอกว่า "ไม่มีคุรุภัณฑ์ช่วยราชการสักรายการเดียว"


แต่นักเรียนทุกคนไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เข้าใจ ดึกดื่นค่อนคืน ผอ. และครู และผู้ใหญ่บ้าน มักได้รับโทรศัพท์ให้ไปไกล่เกลี่ยปัญหาการทะเลาะวิวาทตามงานบุญของนักเรียนชาย หลายรายหายไป ไม่มาเรียน ตามถามได้ความว่าไม่มาเพราะเมาสุรา นักเรียนหญิงบางคนก็ไม่มาเรียน ถามเพื่อนบอกว่าไปกับแฟน ผอ.สวัสดิ์ สรุปเรื่องนี้ว่า เด็กนักเรียนขณะนั้นเก่งแต่ยังไม่ดี กลยุทธการพัฒนาโรงเรียนขณะนั้นยังไม่ดีพอ ต้องหาวิธีปลูกฝังความดีให้นักเรียน  นี่เป็นปฐมเหตุของการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษามาใช้ในโรงเรียน

เริ่มขับเคลื่อน ปศพพ. อย่างจริงจัง

กระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ เริ่มต้นอย่างจริงจังหลังปี ๒๕๕๒  ผอ. สวัสดิ์ มะลาหอม พาครูพัฒนาโรงเรียนสู่การเป็นสถานศึกษาพอเพียง โดยช่วงแรกเน้นการพัฒนาคนด้วยการพาตนและครูเข้าร่วมเรียนรู้กับโครงการของมูลนิธิสยามกัมมาจลและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้วค่อยๆ นำมาปรับใช้และทำความเข้าใจกับกิจกรรมเน้นความอบอุ่นในครอบครัวที่ทำอยู่ตลอดปีดังรูป และน้อมนำมาใช้ในการสอนแบบบูรณาการกับกิจกรรมประจำปีเหล่านี้ ในขณะครูแต่ละคนต่างสร้างกิจกรรมประจำวันเปิดเป็นเวทีให้เด็กนักเรียนได้แสดงความสามารถ พร้อมทั้งสร้างกิจวัตรประจำวันให้นักเรียนทุกชั้นเรียนได้ฝึกฝนสมาธิและความเพียรก่อนเรียนและหลังเลิกเรียน... ซึ่งจะได้กล่าวถึงรูปแบบการขับเคลื่อนฯ และรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมในบันทึกต่อๆ ไป

 (ขออภัยก่อนนะครับ ที่ยังไม่ได้วาดใหม่ให้เป็นรูปที่เผยแพร่ได้ จะมาปรับรูปนี้ใหม่ภายในสัปดาห์นี้ครับ)

ความภูมิใจก่อเป็นกำลังใจให้ขับเคลื่อนสู่โรงเรียนศูยน์การเรียนรู้ฯ

หลังการขับเคลื่อนฯ อย่างจริงจังเพียง ๒ ปี ผอ.สวัสดิ์และครูเริ่มมั่นใจในแนวทางการพัฒนานักเรียนด้วยหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ท่านสะท้อนว่า "...นักเรียนของเราดีขึ้นมากๆ  ไม่มีเด็กเกเรที่นี่  ไม่มีปัญหาวัยรุ่นทะเลาะวิวาท..."  ผู้บังคับบัญชาให้การยอมรับและชื่นชมบ่อยๆ  ผอ.สมพงษ์  โรจน์ภัทรพงศ์  ผอ.สพป.ขอนแก่น เขต กล่าวในที่ประชุมผู้บริหารโรงเรียนว่า “...อยากให้ในเขต เรามีโรงเรียนดีๆ แบบโรงเรียนชุมชนบ้านห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ เยอะๆ  ทำโรงเรียนได้น่าอยู่  นักเรียนเป็นเด็กเรียบร้อย  ไปเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ยังเรียบร้อยเหมือนเดิม...” โรงเรียนได้รับการคัดเลือกให้เป็น ASEAN Learning School ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาขอนแก่น เขต ๓ เป็นหนึ่งเดียวของเขต  

ทุกคนสรุปร่วมกันว่า สาเหตุที่โรงเรียนประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้แต่แรก นักเรียนเป็นคนดีและคนเก่ง เพราะนักเรียนได้นำหลักปรัชญาฯ มาใช้กับตนเองบ่อยๆ เป็นกิจวัตร เกิดความคุ้นชินจนก่อเป็นอุปนิสัย "พอเพียง" เมื่อทุกคนเห็นว่าดี จึงพร้อมใจกันอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนสู่การเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อขยายผลลัพธ์ที่เกิดกับโรงเรียนของตนออกไปสู่เพื่อนครูในโรงเรียนอื่นๆ ต่อไป และลุล่วงสำเร็จในไม่ช้านาน โรงเรียนผ่านการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ ในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕  และยังยั่งยืนและมั่นคง สม่ำเสมอ ในการขับเคลื่อนขยายผลสู่คนอื่นๆ โรงเรียนอื่นๆ ตลอดมาจนปัจจุบัน

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ


การน้อมนำมาใช้กับตนเองกับทุกๆ กิจวัตรประจำวันในการดำเนินชีวิต ของ ผอ.สวัสดิ์ คือคุณลักษณะที่เห็นชัดเจน และเห็นได้ง่ายๆ ผ่านการสนทนากับท่านทุกๆ ครั้ง  การเข้าถึงได้ง่าย เปิดเผย และจริงใจ ทำให้วิธีการบริหารจัดการที่เน้นการมีส่วนร่วมที่ ผอ. สวัสดิ์ ใช้เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนฯ นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและอบอุ่น

การบริหารเชิงราบหรือการเน้นการมีส่วนร่วมของ ผอ.สวัสดิ์ สามารถผสานจุดเด่นของบุคลากรและครูแกนนำทุกคนในโรงเรียนเข้าด้วยกัน เกิดกระบวนการขับเคลื่อนผ่านการเรียนรู้แบบครอบครัว (Family - based Learning : FBL) ในลักษณะเฉพาะตัวขึ้นในโรงเรียน สิ่งที่ครูเบญจมาศและเพื่อนครูทำไว้ ได้รับการต่อยอดและเสริมหนุนด้วยการบริหารจัดการที่ยึดธรรมมาภิบาล

อีกปัจจัยที่ทำให้การขับเคลื่อนฯ แบบ FBL ก่อผลสำเร็จที่ยั่งยืนคือ การทำงานวิชาการของครูมณีรัตน์ มะลาหอม ความพร้อมด้านงานวิชาการ ทำให้การบูรณาการสู่การเรียนการสอน และการสอดแทรกหลักปรัชญาผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ สำเร็จได้อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพ มีร่องรอยให้ติดตามเรียนรู้ได้ง่าย

รูปแบบการขับเคลื่อนแบบ FBL ของโรงเรียนชุมชนห้วยค้อฯ เน้นการมีส่วนร่วม จึงทำให้ครูแต่ละคนเข้าใจและนำไปใช้ในหน้าที่อย่างทั่วถึง ต่างคนต่างมีแนวปฏิบัติที่ดีในการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ผ่านกิจกรรมที่คิดทำหรือได้รับมอบหมาย ... ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้จากเรื่องเล่าที่จะนำมาเสนอต่อไป


ดูรูปทั้งหมดที่นี่

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

สศพ. _ ๐๕ : รูปแบบการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพ ที่ ๒๐๖ (๑)

โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ เป็นโรงเรียนประถมขยายโอกาสขนาดเล็กที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จัดตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนวัดสะอาดในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และก่อร่างสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งกว่าจะเสร็จได้ ชุมชนชาวบ้านต้องช่วยกันบริจาคและสั่งสมไม้ใช้ระยะเวลายาวนานถึง ๔ ปี โดยเฉพาะความอนุเคราะห์จากพ่อค้าคหบดีชื่อ อุดม เอกะกุล ที่อุดหนุนทุนทรัพย์ถึง ๒,๐๐๐ บาท เป็นค่าตะปูและสังกะสีมุงหลังคา จนชุมชนตกลงกันให้ใช้ชื่อโรงเรียนเพื่อยกย่องในความดีของท่านว่า "โรงเรียนอุดมราษฎร์อนุเคราะห์" ซึ่งหมายถึง โรงเรียนที่เกิดจากการให้ด้วยใจของชาวบ้าน ถือเป็นจุดเด่นที่ถือเป็นรากฐานสำคัญทำให้โรงเรียนมั่นคงและยั่งยืนมาจนปัจจุบัน ที่มูลนิธิไทย-อเมริกันและชาวบ้านชุมชนห้วยค้อร่วมกันระดมทุนสร้างจนสำเร็จเสร็จเป็นโรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพ แห่งที่ ๒๐๖ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมา

ครูเบญจมาศ สิงห์น้อย คือครูผู้เริ่มต้นกระบวนการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ให้กับนักเรียนและครู แม้ว่าท่านเองขณะนั้นยังไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นคือการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแบบ "ทำให้ดู" ท่านเป็นครูเพื่อศิษย์ที่ทำทุกอย่างเพื่อเด็ก คิดและปฏิบัติกับครูเหมือนญาติพี่น้อง มองนักเรียนเหมือนลูกหลาน ความขยันอดทน เสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องหลายปี ทำให้ทุกคนมีศรัทธาและสามัคคีกันโดยมีท่านเป็นผู้นำตามธรรมชาติจากภายใน

ก่อนการพัฒนาโรงเรียนสู่โรงเรียนสถานศึกษาพอเพียง ชุมชนห้วยค้อประสบปัญหาความยากจนอย่างหนัก พ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ลูกหลานต้องอยู่กับตายายหรือบางรายต้องมาฝากใว้โรงเรียน หลายครอบครัวก็มีปัญหาหย่าร้าง พ่อแม่ตายจากโรคร้าย ในช่วงฤดูทำนาเด็กจะขาดเรียนเพื่อไปรับจ้างทำน เป็นต้น มีครั้งหนึ่ง นักเรียนคนหนึ่งเป็นลมหน้ามืดระหว่างเข้าแถวเคารพธงชาติ สอบถามได้ความว่า แม่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจึงไม่ได้กินข้าวก่อนมาโรงเรียน เหตุการณ์นั้นทำให้ครูเบญจมาศนอนไม่หลับ เช้าวันถัดมาจึงเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะนั้นซึ่งท่านก็สนับสนุนให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังนั้น

ครูเบญจมาศเริ่มด้วยการขับจักรยานตระเวนไปตามหมู่บ้านเพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ความรุนแรงของปัญหา ยืนยันความจำเป็นของการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ท่านพบว่าพื้นที่กว่า ๑๕ ไร่ของโรงเรียน กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่สามารถแบ่งมาทำเป็นแปลงเกษตรและบ่อเลี้ยงปลาได้ จึงนัดประชุมผู้ปกครองกลุ่มเป้าหมายแรกก่อนประมาณ ๑๐ ครอบครัว เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้และสิ่งที่ชาวบ้านต้องมีส่วนร่วม ซึ่งชาวบ้านยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ครูเบญจมาศจึงเขียนข้อเสนอโครงการ "ครอบครัวสาธิต" เพื่อขอรับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบที่จำเป็นต่างๆ จากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ได้รับการช่วยเหลือเป็นไก่ไข่ครอบครัวละ ๕ ตัว อาหารไก่ ๑ กระสอบ ปลาดุก ๕๐๐ ตัว อาหารปลาดุก ๒ กระสอบ และเมล็ดพันธุ์ผัก เกิดเป็นการเกษตรผสมผสานในโรงเรียน โดยแบ่งพื้นที่ให้ครอบครัวละ ๑๐x๑๒ ตารางเมตร และวางท่อน้ำประปาให้อย่างทั่วถึง เน้นการปลูกฝังความอบอุ่นในครอบครัวเป็นสำคัญ โดยจัดให้แต่ละครอบครัวที่เป็นญาติกันเป็นพี่เป็นน้องกัน ให้มีพื้นที่อยู่ใกล้กัน และจัดทำตารางปฏิทินทำงาน (กำหนดวันที่และเดือน) ให้แต่ละครอบครัวช่วยกันดูแลและร่วมกันดูแล

ประโยชน์ที่ได้ทันทีจากโครงการนี้คือ "มีกิน" มีอาหารกินครบ ๓ มื้อ สุขภาพร่างกายทุกคนแข็งแรง  คนในครอบครัวได้คุยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้กินอยู่ร่วมกัน เกิดเป็นความอบอุ่นในครอบครัว ไม่นานทุกครอบครัวก็เริ่มมีเงินหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง จากมีเงินหมุนก็มีเงินออม สุขภาพใจก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ทุกครอบครัวสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุขมากขึ้น ครูเบญจมาศและเพื่อนครูช่วยกันขยายผลความสำเร็จนี้จาก ๑๐ ครอบครัวเป็น ๗๐ ครอบครัวในปีถัดมา ท่านบอกว่า การบูรณาการการเรียนการสอนแบบโครงงานกับการเกษตรพอเพียงนี้คือ จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง


รูปแบบการแก้ปัญหาของครูเบญจมาศ แสดงเชิงสรุปกระบวนการได้ดังรูป




ปัจจัยแห่งความสำเร็จของครูเบญจมาศคือ ความเป็นครูเพื่อศิษย์ที่มีหัวใจ "พอเพียง" และจิตวิญญาณความเป็นผู้ให้ที่เปรียบได้กับ "พรหมวิหาร ๔" อันมีเมตตา การุณา อุเบกขา เมื่อเห็นปัญหาของเด็กๆ ไม่นิ่งดูดาย แต่กลับใช้ทรัพยากรและความรู้ที่มีอยู่ แก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมและอดทน จนสามารถประสบความสำเร็จแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนจากความอบอุ่นของครอบครัว อีกทั้งยังมุฑิตา ชื่นชมยินดีและฉลองความสำเร็จกับเด็กๆ เสมอๆ





จุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่โรงเรียนชุมชนห้วยค้อมิตรภาพที่ ๒๐๖ เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการแล้วจากภายใน จากจิตใจและการกระทำของครูแกนนำคือครูเบญจมาศ สิงห์น้อย แล้วจึงค่อยๆ เรียนรู้และขยายอย่างเป็นหลักวิชาการเมื่อ ผอ.สวัสดิ์ มะลาหอม ย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน

มาว่ากันเรื่องกลยุทธของ ผอ.สวัสดิ์ ในบันทึกถัดไปนะครับ ....

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

สศพ. _ ๐๔ : เรื่องเล่าจาก โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๑) ครูเชตะวัน สุวรรณศรี



บันทึกที่ ๓

เพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น ถึงวิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม ผมขอนำเรื่องเล่าที่เราไป "ถอดบทเรียน" ที่โรงเรียนเชียงขวัญฯ มา "ตีความ" ในมุมมองของผู้ขับเคลื่อนฯ  เผื่อจะมีประโยชน์กับท่านครับ

อาจารย์ เชตะวัน สุวรรณศรี
หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา สอนในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ 

ครูเชตะวันป็นครูสังคมที่ผ่านการฝึกอบรมในโครงการยุววิจัยทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งนำครูกลุ่มเป้าหมายในหลากหลายพื้นที่มาเข้าค่ายฝึกกระบวนการวิจัยต่อเนื่องยาวนานตลอดช่วงปิดภาคเรียนต่อเนื่องหลายปี ทำให้มีทักษะในการจัดการเรียนรู้บนฐานการวิจัยหรือ Research-based Learning (RBL) ดังคำกล่าวตอนหนึ่งว่า

"...บังเอิญได้เข้าร่วมโครงการวิวัฒน์วิจัยทางประวัติศาสตร์เป็นโครงการของ มมส. ึ่งได้จัดมาหลายปี ก็เลยต่อยอด ก็เลยนำประโยชน์ของพวกนี้มาใช้ในที่ทำงานนะครับ ผมก็เลยนำเอาแหล่งความรู้ชุมชนเป็นสื่อ..."

การออกแบบการเรียนรู้ของครูเชตะวัน เป็นการปรับใช้ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จาก "ยุววิจัย" นำมาบูรณาการใช้กับ "การสอนคิด" ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการตั้้งคำถาม "ชวนคิดเชื่อมโยง ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ" หรือที่ครูทุกคนในโรงเรียนเรียกว่าการ "ถอดบทเรียน"

กระบวนการจัดการเรียนรู้ครูเชตะวัน : ปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอน  

กระบวนการเรียนรู้ที่ครูเชตะวันนำมาใช้ในการสอนวิชาสังคมนั้น เป็นตัวอย่างของการ "ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน" เพราะบทบาทของครูนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากวิธีการสอนบรรยายแบบเดิม การออกแบบกิจกรรมให้นักเรียนได้สัมผัสปัญหาจริงและได้ลงมือศึกษาปัญหาด้วยตนเอง ทำให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการสำรวจ เก็บข้อมูล และทักษะการคิดวิเคราะห์ตีความข้อมูลเหล่านั้น เปลี่ยนไปจากเดิมที่นักเรียนเป็นเพียงผู้รับการถ่ายทอเท่านั้น และการกำหนดขอบเขตให้นักเรียนเรียนรู้บนฐานปัญหาของชุมชนนั้น ทำให้เกิดทักษะชีวิตและความภาคภูมิใจในท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์สูงสุดของหลักสูตร

ครูเชตะวันเริ่มต้นจาการตั้งคำถามกับตนเอง เหมือนกับการเกริ่นนำก่อนนำเสนอเรื่องเล่าของตนเองว่า...

"...ทำอย่างไรเด็กถึงจะไม่เบื่อวิชาประวัติศาสตร์ วิชาประวัติศาสตร์นี้ส่วนใหญ่จะใช้การท่องจำบ้าง ผมเลยคิดว่าส่วนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ที่แห้งแล้งมันไม่น่าสนใจ ก็เลยนำเอาเรื่องใกล้ตัวของนักเรียนก็คือชุมชน..." 

และยึดหลักการบูรณาการกับงานหลักคือการสอนในรายวิชาของตนเอง ดังที่กล่าวถึงในบันทึกก่อนๆ ว่า โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมเด่นในเรื่องนี้ ครูเชตะวันบอกว่า

"...โดยเราจัดเป็นยุววิจัยเรียกว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่นำมาใช้กับเด็กในระดับชั้น ม.4 มันก็เลยตรงกับมาตรฐานตรงที่ ศ. 4.1 สาระประวัติศาสตร์ ตัวชี้วัดที่ 3 ว่าด้วยเรื่องของ การบำบัด หรือนำขั้นตอนทางประวัติศาสตร์เข้ามาใช้ องค์ความรู้ใหม่มาใช้ ซึ่งตัวนี้จะทำไห้เด็กสามารถเรียนรู้หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการโครงงาน..."

กระบวนการเรียนรู้ที่ครูเชตะวันปรับเอา RBL มาใช้กับปัญหาชุมชน อาจเรียกอีกเชื่อหนึ่งว่า การเรียนรู้บนฐานปัญหาชุมชน (Community Problem-based Learning: CPBL) โดยคนตั้งปัญหาเป็นครู แล้วใช้วิธีการ "พาไปดู" สถานที่ๆ เกิดปัญหาจริงๆ ก่อนจะปล่อยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนและลงมือเก็บและรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง  โดยมีครูเชตะวันเป็นเหมือนที่ปรึกษาเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าหาเพื่อรับคำแนะนำได้สะดวก เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือและกระตุ้นให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกและท้าทายอย่างต่อเนื่อง

กระบวนการเรียนรู้แบ่งเป็น ๒ ชั้น ๓ ตอน ดังแสดงในรูป ชั้นแรกเป็นการ "พาเรียนรู้"ของครู เริ่มตั้งแต่ครูตั้งคำถามกว้างๆ เพื่อกำหนดขอบเขตและพื้นที่ของการเรียนรู้ ก่อนที่ครูจะพาลงไปสำรวจพื้นที่จริง เพื่อปูพื้นและฝึกทักษะการเรียนรู้ การเข้าหาชุมชน การสัมภาษณ์เก็บข้อมูล นำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตั้งคำถามกระตุ้นแรงบันดาลใจและความสงสัย ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งคำถามเองของนักเรียน

ชั้นที่ ๒ ของกระบวนการเรียนรู้ ครูจะ "ถอยออกมา" เป็นผู้สังเกต เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ โดยใช้การ "ตั้งคำถามชวนคิด" ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ ๕ คน) ได้ลงพื้นที่หาคำตอบของตนเอง ก่อนจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปคำตอบของตนเอง ก่อนจะนำเสนอต่อครู และร่วมกันถอดบทเรียนกาาเรียนรู้โดยเชื่อมโยงกับหลัก ปศพพ. ในตอนท้ายของกระบวนการอีกครั้งหนึ่ง



ในแต่ละขั้นตอน จะมีรายละเอียดอีกมากในการดำเนินการ เช่น ในขั้นตอนของการฝึกให้นักเรียนแสวงข้อมูล  ครูเชตะวันเล่าว่า...

"...การฝึก การแสวงหาข้อมูล ต้องรู้ว่าไปตอนไหนไม่ใช่ว่าจะไปแล้วจะได้ข้อมูลเลย เราต้องไปหลายๆรอบต้องนัดหมายไห้ชัดเจน เด็กก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ การเก็บข้อมูลทำยังไง ธรรมเนียมไทยทำยังไง ไปลามาไหว้ เราต้องไปทำความคุ้นเคยกับชาวบ้านก่อน เสร็จแล้วเด็ก ก็ขอบอกนักเรียนก่อนว่าโครงงานนี้ไม่ได้ทำเป็นชั่วโมง แต่ชั่วโมงเรียนมีแค่ 20 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลานอกห้องเรียน วันเสาร์ อาทิตย์บ้าง ในการเก็บข้อมูล เสร็จแล้วก็นัดหมายกันเป็นระยะ เช็คว่าที่เก็บข้อมูลมามีอะไรบ้างเสร็จแล้วก็ถึงกระบวนการเขียน และนำเสนอ..."

(ผู้อ่านที่สนใจ น่าจะติดต่อไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนเชียงขวัญ เพื่อพูดคุยรายละเอียดกับครูเชตะวันโดยตรง)

ตัวอย่างการกำหนดปัญหา : ปลาที่หายไป

ในขั้นเริ่มกระบวนการ การตั้งปัญหาของครูไม่ได้มุ่งให้นักเรียนไปสบค้นเอาความรู้มาตอบ คือไม่ได้เน้นที่ครู แต่มุ่งให้นักเรียนรู้ขอบเขตหรือประเด็นๆ ในชุมชน เช่น เรื่องข้าว ปลา ธัญญาหาร เป็นต้น โดยกำหนดพื้นทีที่เกี่ยวข้องให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ก่อนจะครูจะพากนักเรียนลงพื้นที่สำรวจในขั้นตอนต่อมา

ก่อนการลงพื้นที่จริง ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ คน แล้วกำหนดหัวเรื่องกว้างๆ ให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบ ในภาคการศึกษานี้ครูแบ่งออกเป็น ๕ หัวเรื่อง เช่น  ปัญหาหอยเชอรี่ระบาดในนาข้าว ปัญหา ปัญหาเรื่องปลาที่หายไปในแม่น้ำชี ฯลฯ  โดยครูจะเป็นผู้วางแผนเบื้องต้นให้ก่อน ตรงนี้ผมเรียกว่า "ครูพาเรียนรู้" 
                   
...ผมเลยร่วมมือกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4  พาเด็กไปดูปลาที่ บ้าน ปากดู่ พาหนะคือเรือที่ใช้ศึกษา ไปดูว่าปลามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมปลาบางชนิดมันหายไปจากแม่น้ำชี ทำไมมีปลาบางชนิดกลับมา เช่น  ปลาช้อกเกอร์  หอยก็ไม่ใช่หอยขมแต่กลับเป็นหอยเชอรี่ ระบาดไปทั่วในตอนนี้ก็เลยวางแผนร่วมกับเด็กไปศึกษา โดยพื้นที่ก็คือ บ้าน ปากดู่ ซึ่งเวลาออกภาคสนามก็คือเราใช้เวลาตลอดภาคเรียน...


ผลลัพธ์การเรียนรู้จากวิธี CPBL ของครูเชตะวัน

ผลลัพธ์ที่สำคัญและภูมิใจที่สุดของครูคือ ความภูมิใจในความสำเร็จในการปลูกฝัง "จิตสำนึกรักท้องถิ่น"  ผมคิดว่าน่าจเป็นเพราะการเลือกเอาปัญหาจริงของชุมชน (Community:C)  และด้วยวิธี PBL จึงให้นักเรียนสามารถ...องความรู้ใหม่ทางด้านประวัติศาสตร์ด้วยตนเอง รู้ว่าชุมชนมีความเป็นมายังไง เปลี่ยนไปยังไงบ้าง เวลากับคนมันสัมพันธ์กันอย่างไร  ดังเช่น ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ว่า...ตกลงอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลามันหายไป...นักเรียนตอบว่า "...การที่เราใช้สารเคมีค่ะ การทำฝายปิดจึงทำไห้เกิดน้ำท่วม นำไม่ถ่ายเท จึงทำไห้น้ำเกิดตะกอน และทำไห้น้ำเน่าเสีย จึงทำไห้ปลาไม่วางไข่ค่ะ"  ล้วอะไรคือสิ่งที่ทำไห้ใช้สารเคมี?  "...การที่ชาวบ้านทำนาค่ะ ถ้าไม่ใช้สารเคมีข้าวก็จะไม่งอกงาม เละผลผลิตก็จะได้ไม่เยอะค่ะ..."   
นอกจากนี้ วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ CPBL ยังมีประโยชน์และทำให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของครูเชตะวันอีก ๕ ประการ ได้แก่
  • ทำไห้เด็กรู้กระบวนการทางด้านประวัติศาสตร์
  • ทำไห้ผู้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้าน 
  • ทำไห้เด็กสามารถลงภาคสนามได้  เก็บข้อมูลเป็น ไปสอบถามชาวบ้านได้
  • มีทักษะในเรื่องของการเขียนวิเคราะห์   และ
  • มีทักษะการนำเสนอช่น การนำเสนอด้วยเพาเวอร์พอยด์ ฯลฯ
 
วิธีการสอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ครูเชตะวันเน้นว่า การสอดแทรกหรือปลูกฝัง ปศพพ. สามารถทำได้ทุกขั้นตอนของการทำงาน และทุกกระบวนการของการเรียนรู้ เพียงแค่ครูใช้ "คำถามชวนคิด"  หรือ "ถอดบทเรียน" บนฐานคิดของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นหลายตอนระหว่างการนำเสนอ  เช่น 

ทำทำไม? เรื่องนี้จะออกมาเป็นเรื่องของเหตุผล ทำแล้วเหมาะสมหรือไม่ คือความพอประมาน  
ทำแล้วได้อะไร? เป็นเรื่องของหลักภูมิคุ้มกันนั่นเอง
เป็นต้น 

และมองว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็น "ปัจจัยแห่งความสำเร็จ" ของการเรียนรู้  เช่น

 "...คุณลักษณะพอเพียงเราจะขาดไม่ได้ ฉะนั้นกระบวนการโครงงานขาดหลักสาม(๓ ห่วง ๒ เงื่อน)จะไม่สำเร็จนะครับ ระยะทาง ความเหมาะสม ที่ผมเคยสัมภาษณ์ เดือนสิบเดือนสิบเอ็ดหน้าเกี่ยวข้าวน่ะปลาก็จะลงในแม่น้ำชี ชาวบ้านทุกคนจะไปทำตะกร้าดักปลากันทุกคน เยอะนะครับ แล้วก็เอามาแบ่งกัน แต่ตอนนี้ไม่ค่อยจะมีแล้วเมื่อมีชลประทานมาทำผนังกั้นน้ำทิศทางน้ำก็เปลี่ยน ปลาก็ลดน้อยลงซึ่งในตัวนี้จะออกมาเป็นรูปแบบของโครงงานมันจะมีรายละเอียนอยู่ครับ แต่วิธีการแทรกเราสามารถแทรกหลักปรัชญาได้ทุกขั้นตอนทุกกระบวนการ..."



บทสะท้อนจากเพื่อนครู

ตอนท้ายๆ ของการนำเสนอ นักวิจัยจากมูลนิธิสยามกัมมาจตั้งคำถามว่า "...แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะทำไห้เด็กสนใจในเรื่องของเรื่องใกล้ตัวค่ะ"

ครูเชตะวัน ตอบว่า "อย่างแรกก็ต้องวางแผนกับครูทุกคนก่อน บางทีกลุ่มสาระสังคมทำกลุ่มเดียวก็ไม่ไหวน่ะครับ ก็ต้องเอาทั้งเจ็ดสาระมาทำร่วมกันเราจะทำอย่างไรเอาเรื่องของท้องถิ่นไห้ได้ อย่างสาระวิทย์ ก็ทำในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องต้นไม้พันธุ์ไม้ กลุ่มพลานามัยก็ทำในเรื่องของสุขภาพของชุมชนมาในเรื่องใกล้ตัว เช่น เรื่องสมุนไพร...จริงๆแล้วถ้าครูไห้เด็กได้คิดละว่าเขาอยากทำเรื่องอะไรที่มันใกล้ตัวเอง ก็น่าจะสร้างฉันทะ เพราะไห้เด็กทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำได้ดีกว่า"

ครูสุพินิจ ศิริโสภณ ครูสอนฟิสิกส์ บอกว่า "...เมื่อพูดในเรื่องของ ม. ก็จะพูดในเรื่องของการบูราการเรื่องแรง และการเคลื่อนที่ เริ่มจากเวกเตอร์เลย เส้นทางการสำรวจ เวกเตอร์รับ เมื่อสอน ม. บูราการกับเรื่องคลื่น พลังงาน คลื่นน้ำเป็นคลื่นตามขวาง ก็ออกไปด้วยกันเลย พอรู้เรื่องปลาแล้วก็รู้เรื่องคลื่น จากประสบการณ์ตัวเองก็คือสื่อการเรียน ฟิสิกส์ นี่คือเป็นสื่อที่เราจัดมาตอนโรงเรียนในฝัน ถามเค้าก่อนว่าถ้าเผื่อเราทำไห้เกิดคลื่นน้ำก่อนว่าเรือมันจะลอยไปกับคลื่นไหมเพราะหนังสือบอกว่าคลื่นน้ำเป็นคลื่นตามขวาง ก็เลยจะบูราการไปกับครูเชตะวันโดยไห้ครูเชตะวันเป็นสื่อกลาง"

ครู สุมลฑา บอกว่า "ค่ะก็ขอชื่นชมครูเชตะวันค่ะว่า การที่เด็กได้ลงไปเรียนรู้ด้วยตนเองจริงๆ นั้น เด็กจะได้แสดงความรู้ในหลายๆด้าน ส่วนของดิฉันก็คือเป็นความรู้วิชาภาษไทย ก็คิดต่อในเรื่องของโครงงานสารพัน ว่าถ้าเราเอาภาษาถิ่นลงไปว่าชื่อปลาอย่างเช่น ปลาช่อน เด็กๆที่บ้านก็ไม่รู้นะคะว่าในภาษาอีสานเขาเรียกว่าอะไร เราก็สามารถแทรกเอาชื่อของภาษาถิ่นลงไป แม้แต่คำพูดที่เราไปสัมภาษณ์ส่วนมากเด็กๆก็จะสัมภาษณ์เป็นภาษาถิ่น เราก็จะแทรกตัวนี้เข้าไปก็น่าจะได้ความรู้มากขึ้นและเด็กๆ ก็จะได้คำศัพท์ด้วย ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาถิ่น ด้วยค่ะ"
 
ครูเข็ม รุ่งวิสัย สาขาวิชาพละ บอกว่า "ขอชื่นชมทั้งครูและนักเรียน ที่ได้ทำโครงงานเรื่องนี้ ก็ขอเพิ่มเติมนิดนึงในฐานะครูพละนะคะ ก็อยากจะไห้ศึกษาเพิ่มเติมไปด้วยว่าวิธีการหาปลาของชาวประมงที่เราไปสัมภาษณ์ว่าเขามีวิธีการหาปลาโดยวิธีการไดบ้าง เช่น เบ็ด ใช้ในช่วงฤดูการไหน การล้อมซุ้มเต้าได้ใช้ไหม หรือลงแหกัน มันจะใช้ในช่วงไหน เพราะว่าฤดูน้ำหลากเค้าจะใช้วิธีการไดบ้าง ตรงนี้ฝากไห้ศึกษานะคะ และอยากจะไห้ศึกษาอีกนิดหนึ่งว่าคนที่หาปลา เทคนิค หรือสมรรถภาพทางกายเป็นอย่างไร ในของวิชาพละ คนดำน้ำคุณสมบัติของชาวประมงน้ำจืดมีวิธีการดำน้ำยังไงถึงจะอยู่ในน้ำได้นาน อันนี้ฝากเอาไปคิด และการกระโดดน้ำโดดยังไงปลามันถึงจะไม่ตื่น จากสาขาวิชาพละก็มีแค่นี้ค่ะ"

ครู ฉลาด ขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม "ถ้าเป็นวิชาประวัติศาสตร์เราต้องไปสอบถาม แต่ประเด็นของอาจารย์เข็มคิดว่าเราไปเรียนรู้กับผู้มีประสบการณ์จริง ใช้จริง แล้วทดลองจากสิ่งที่ได้กับเขาด้วยแต่ไปถามคนที่เขาทำได้จริง ๆ และเรียนรู้เทคนิคกับเค้าจริงๆแบบนี้จะได้ความรู้มากขึ้นลึกขึ้น
ครูผู้ชาย ได้เพิ่มเติม อีกว่า  ฝั่งน้ำชีกับฝั่งน้ำเจ้าพระยาต่างกันไหม เพราะความลึกของดินกับระดับน้ำจะต่างกันไม่น้อยกว่าสี่เมตร ถ้าจะดำน้ำต้องมีสมรรถภาพทางกายพอสมควรจึงจะดำลงไปได้ มุมมองของครูเข็มว่าถ้าเราออกแบบเพื่อไห้นักเรียนได้เรียนรู้ในกลุ่มสาระสุขศึกษาและพละศึกษาเราควรจะเติมหรือเพิ่มโจทย์ลงในอะไรไว้บ้างเพื่อไห้เห็นอะไรได้ชัดขึ้นครับ"

ครูกิตติศักดิ์ นาคฤทธิ์ ครูสอนสาขาวิชาการงานอาชีพฯ ได้แสดงความคิดเห็นว่า "เท่าที่ได้ฟังมาก็ถือว่าเกี่ยวข้องกัน ก็อยากจะไห้นักเรียนไปสำรวจอาชีพในท้องถิ่น ว่าเค้าพอใจในอาชีพอะไรบ้างทำไมอาชีพที่บรรพบุรุษเค้าทำมาเค้าไม่สานต่อก็จึงอยากจะไห้ลงไปตรงนี้ ในส่วนของอาจารย์ เช ผมอยากจะเสนอแนะว่าเมื่อเราไปสำรวจเรื่องป่าเรื่องอะไรต่างๆว่ามันสูญหายหรือประการไดต่างๆนี้เมื่อเราได้เก็บข้อมูลมาแล้วเอาปัญหามาสรุปผมคิดว่าเราน่าจะกลับไปบอกเค้าด้วยว่าเราจะมีการแก้ไขยังไงหรือ พัฒนาสายพันธุ์ปลาหรือพัฒนาการเป็นอยู่ของปลา ชนิดเดิมๆนะครับอยากจะแนะนำตรงนี้ คือกลุ่มวิชาการงานอาชีพสามารถขยายพันธุ์หลาได้ ถ้าเด็กเราสามารถเติมมุมนี้ไห้คือว่าปลา พันธุ์ปลาหมูทอกซึ่งมันไม่มีใครทำได้ ถ้าทำได้มันจะเป็นความมหัศจรรย์เลยนะครับ"

ครู ศิรินุจ สุจริต สอนวิชาพระพุทธศาสนา "ก็มองเห็นตั้งแต่จุดแรกเลยค่ะว่า ทำไมปลาถึงลดน้อยลงแล้วก็ได้ข้อมูลมาว่า ชาวบ้านใช้สารเคมี”  แต่ครูก็มองไปอีกว่าอันนี้ก็มีส่วน แต่เค้าออกไปหาปลาถี่ไหมแล้วได้เลือกฤดูการไหมคือไปทุกวันเพื่อที่จะได้ปลามาขายใช่ไหม จุดประสงค์ของเค้าคือได้ปลามาขาย แล้วคนที่เป็นพ่อค้าเค้าจะต้องได้จำนวนมากคือ ทำยังไงที่ได้มากที่สุดเพื่อที่จะทำรายได้ไห้กับครอบครัวของตนเอง เพราะฉะนั้นปลาที่เค้าได้มาไม่ใช่ว่าปลาตัวเล็ก ปลาตัวใหญ่ ปลาตัวเล็กเค้าจะปล่อยไปไหมหรือว่าตัวที่มันมีไข่ในท้องเค้าจะปล่อยมันไหม ทำยังไงเราถึงจะสร้างจิตสำนึกไห้กับคนในชุมชนนั้นไห้เมตตาว่าหลาตัวเล็กก็ปล่อยไปซะ ปลาที่มีไข่ก็ปล่อยไปซะ ถ้าเราปล่อยแล้วคนอื่นไปเจอเค้าจะปล่อยเหมือนเราไหมอันนี้ก็เป็นจิตรสำนึกอันนี้ที่กล่าวมาก็สร้างความยั่งยืนไห้กับชาวบ้านด้วย เพราะว่าปลาก็เลี้ยงชุมชน ถ้าเราจับทุกวันมันก็หมอแล้วเค้าจะอยู่ยังไงทีนี้วิถีชีวิตกับลุ่มแม่น้ำชีน่ะเค้าจะเป็นอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า เราควรสร้างจิตรสำนึกว่าเราไม่ควรจับปลาในฤดูวางไข่นะ หรือว่าถ้าเราจับได้ตัวที่มันมีไข่เราจะปล่อยมันไปไหม และมีอีกอย่างที่จะฝากคือการที่จะอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำที่เค้าอาศัยอยู่ เราน่าจะไปบอกเค้าได้ทราบว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่ยั่งยืนโดยที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนผู้อื่นมันจะทำไห้พวกเราลดความเห็นแก่ตัวลง ไม่โลภมากมันจะได้เข้าสู่ความพอเพียงมากยิ่งขึ้นค่ะ"


ครู สมพิศ สุขมาตย์ สอนวิชาภาษาไทย "สำหรับการบูรนาการของหลักภาษาไทย คือหลักการเขียน หลักการอ่าน และหลักการฟัง ซึ่งสามารถบูรนาได้อย่างชัดเจน ถ้าเด็กลงพื้นที่ไปโดยไม่รู้จักวิธีการสัมภาษณ์ไม่รู้จักพูด เช่น ลงไปแล้วถามเลยว่าทำไมปลาถึงหายไปมันก็ไม่ใช่นะคะ แล้วเด็กก็จะต้องรู้หลักการสัมภาษณ์ว่าลงไปแล้วต้องถามอะไรก่อน เป็นหลักที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยโดยตรง หลักการเขียน ก็คือเก็บข้อมูลมาแล้วก็ต้องจดบันทึกไม่ใช่ว่าเค้าพูดว่าน้ำมีความลึกเท่าไหร่ มันไม่สำคัญ สาระสำคัญก็คือ ปลาทำไมถึงหายไปเพราะฉะนั้นเด็กจะต้องฟังเพื่อที่จะต้องจับประเด็นไห้ได้แล้วก็จดบันทึกเพื่อที่จะได้นำผลนั้นกลับมาเป็นรายงานโครงงาน ซึ่งจะสามารถบูรนาการได้อย่างชัดเจนในสามสาระนี้ และเพิ่มเติมของอาจารย์ สุมลฑา เรื่องภาษาถิ่นซึ่งอยู่ในฐานการเรียนรู้ตัวที่สี่ของภาษไทยคือในเรื่องของภาษาก็จะได้เรียนทั้ง ม สี่ และ ม ห้า ถ้าเป็น ม ห้า หนูจะทำไห้เป็นเรื่องพจนานุกรมภาษาถิ่นถ้าไปกับครูเช รับรองว่าเค้าจะได้ภาษาถิ่นภาษาอีสานมาเยอะมากเพราะว่าทางนู้นจะพูดภาษาถิ่นซะส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยพูดภาษาไทย เด็กก็จะได้ทั้งคำศัพท์และความหมายด้วย ค่ะ"

ครูนุชนารถ ทองภักดี กลุ่มสาระกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า "อยากเพิ่มเติมนิดหนึ่งตรงที่เราไปเก็บข้อมูลเครื่องมือที่เราจะใช้เก็บข้อมูลแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์จะมีการกลั่นกรองไหมว่าข้อมูลที่เราได้มามันเป็นข้อมูลที่คลอบคลุมไหมหรือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ทำยังไงเราถึงจะได้เครื่องมือมา ครูช่วยแชร์ไปทางกลุ่มสาระอื่นๆ ว่าเราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือนอกจาการสัมภาษณ์ หรือมีแบบอื่นอีกไหมที่จะได้ข้อมูลที่คลอบคลุม เช่น การถ่ายรูป การอัดเสียง การอัดวีดีโอ มันอาจจะทำไห้โครงงานของเรามันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และการสุ่มประชากรว่ามันจะมีสูตรการคำนวณปลาไหมว่ามันจะมีการเปลี่ยนแล่งมากแค่ไหนค่ะ ก็จะได้เชื่อมโยงในเรื่องของระบบนิเวศห่วงโซ่อาหาร ค่ะ"


อาจารย์ธนชัย สิงห์คล สอนวิชาอุตสาหกรรม บอกว่า "ก็อยากจะไห้เด็กได้ศึกษาเรื่องเครื่องมือ เช่น เรือเอาไม้อะไรมาทำ แล้วทำยังไงมันถึงจะทนเค้าใช้สีอะไร ก็เป็นเครื่องมือที่เค้าใช้จับปลา ซึ่งอยู่ในน้ำนานๆเด็กจะได้รู้ข้อมูลว่าในสิ่งที่เป็นไม้น่ะ เค้านิยมใช้ไม้อะไรมาทำบ้างเราก็จะได้วิชาช่างไปด้วยเกี่ยวกับไม้แต่ละชนิดมีประโยชน์อะไรบ้างและในชุมชนว่าไม้ที่มีมากที่สุดเป็นไม้อะไรบ้าง เค้าจะได้สำรวจไปพร้อมๆกันก็คือเราได้ความรู้เยอะขึ้นที่เราจะได้รู้เรื่องปลาอย่างเดียวเราก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราจะรู้ที่มีอยู่ในหมู่บ้านครับ แล้วเรือในสมัยก่อนเค้าใช้อะไรอุดรอยรั่วอย่างแต่ก่อนไม่มีคุ แล้วเค้าใช้อะไรในการตักน้ำ ครับ สามารถมองแล้วได้ความรู้มารอบทิศเลย"

ครูฉลาด สรุปว่า "ครูแต่ละสาขาได้พูดมามีไอเดียร์หลากหลายมาก คำถามคือ มันจะมารวมกับครูเชตะวันทั้งหมด เป็นไปได้ไหมเทอมหนึ่งทุกวิชา มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นคือจากประสบการณ์และก็อ่านซะส่วนใหญ่เค้าได้สรุปมาว่า สิ่งที่เราควรจัด เด็กก็จะต้องผ่านอะไรมาหลากหลายมากตอนที่เขาผ่านเขาจะต้องฝึกทักษะย่อยๆเช่น เริ่มต้นอ่านออกเขียนได้ภาษา อังกฤษ หรือการสืบค้นการจักการเลือกข้อมูลรู้ได้ไงว่าข้อมูลน่าเชื่อถือไม่น่าเชื่อถือ เช่น การที่เน้นการทำ เป็นต้น แต่ว่าทำยังไงที่จะทำไห้ถึงจุดนั้นจุดที่เด็กจะสามารถบูรนาการทักษะได้โดยตัวของเด็กเองทั้งหมด เค้าใช้วิชา ไอ เอส ในระดับมัธยม ถ้าเป็น ไอ เอส อาจารย์จะต้องไม่ไปกำหนดหรืออะไรแล้วจะต้องใช้บูรนาการของเด็กว่าเค้าอยากจะทำอะไรในวิชา ไอ เอส มองตรงนี้ ทุกคนอาจจะมองมาที่ครูเชตะวัน แต่ภายในยี่สิบชั่วโมง ครูเชตะวันต้องมาพัฒนาทักษะทางด้านทางประวัติศาสตร์ ห้าด้าม ไม่ได้เพราะฉะนั้นวิชาของครูเชตะวัน เป็นเพียงอันนึงในการฝึกทักษะ แต่ทุกวิชามีเป้าหมายเดียวกันคือ ทำไห้ภูมิใจในท้องถิ่น แต่ครูทุกคนต้องแน่นตัวนี้นะ ถ้าทิ้งตัวนี้ปั้บหายเลยมันจึงเริ่มในทางเส้นนี้ เพราะปลายทางคือรักท้องถิ่นเพราะว่ามันจะต้องแทรกไปเลื่อยๆพอถึจุดไอเอส มันจะถึงผลงานของเด็กจริงๆแล้ว นี่คือแนวคิดหลักแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบรู้ลึกรู้จริงคือเด็กไปปฏิบัติจริงแล้วก็สั่งสมความรู้เล็กๆ น้อยๆ ผมจึงย้อนกลับมาว่า อย่าคิดว่าจะเอาทุกกิจกรรมมาเรียนในวิชาเดียวได้ เราต้องชัดว่า เคทีเอ ของเราคืออะไร แล้วถึงจุดๆ นึง ถึงจะได้บูรณาการเข้าหากันครับ ขอบคุณ ครูเชตะวันมากครับ"



สรุปแล้ว ครูทั้งหมดเห็นด้วยและชื่นชม การจัดการเรียนรู้ของครูเชตะวัน และจะร่วมกันนำแนวทางนี้ไปใช้สร้างรายวิชา "ค้นคว้าอิสระ" หรือ Indipendent Study (IS)  การไปเยีย่มโรงเรียนเชียงขวัญในรอบถัดไป ผมจะไปถามเรื่องนี้ เอามาเล่าสู่ฟังใหม่นะครับ ...