วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

สศพ. _ ๐๓ : รูปแบบการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๓)

บันทึกที่ ๑ 
บันทึกที่ ๒

ตามที่เขียนไว้ในบันทึกแรกว่า ก่อนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนยังพบปัญหาพฤติกรรมนักเรียนไม่เหมาะสม แต่เมื่อน้อมนำหลักปรัชญาฯ มาใช้ จึงพบว่าปัญหาดังกล่าวค่อยๆ หมดไปในที่สุด เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน และค่อยๆ ขยายผลจากภายใน ทำให้ยิ่งภูมิใจ และขยายผลได้อย่างมีพลัง ต่อเนื่อง ยาวนาาน

ตามหลักวิชาการด้านการเรียนรู้สมัยใหม่ ครูและนักเรียนเปลี่ยนแปลงจากภายในอย่างแท้จริงได้ แสดงว่าโรงเรียนเชียงขวัญฯ ต้องใช้วิธีการที่เรียกได้ว่า "การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง" หรือ Transfomative Learning ซึ่งต้องมีกระบวนการพัฒนาจิตใจ ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งต้องปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร เพราะมุ่งเป้าไปที่การขัดเกลาจิตใจตน ไม่ใช่ให้เข้าใจด้วยคนอื่น

กิจกรรมเตรียมความพร้อมจากภายในใจของนักเรียน ที่โรงเรียนเชียงขวัญฯ นำมาใช้ คือ การทำสมาธิแบบเคลื่อนไหวสร้างจังหวะแบบหลวงพ่อเทียน ๑๕ ท่า (ปรับจาก ๑๔ จัวหวะ)  แทนการ "พร่ำสอน" (อบรมหน้าเสาธง) และลดระยะเวลาหน้าเสาธงลง  ให้นักเรียนเดินแถวมาทำกิจกรรมในโรงยิม ดังรูป

(ที่มา : http://sec27.ddns-th.com/news/95.html)

อ. ฉลาดเล่าว่า หลังจากนำกิจกรรมทำสมาธิ ๑๕ ท่ามาใช้สัปดาห์ละ ๓ วัน ต่อเนื่องกันเพียง ๑ เดือน พบการเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินแถวของนักเรียนจากหน้าเสาธงชาติมาโรงยิม จากเดิมที่เห็นการหยอกล้อ เล่นกัน เดินแซงหรือซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ มาเป็นการเดินอย่างสำรวมมีสติมีสมาธิมากขึ้นอย่างเห็นชัด

แม้ว่าหลายครั้งหลายเวที ที่ ผอ.ระวี และ อ.ฉลาด ออกไปขับเคลื่อนฯ ขยายผล ดังเช่น คลิปวีดีโอต่างๆ ด้านล่างนี้  ท่านทั้งสองไม่ได้กล่าวเน้นถึง กระบวนการเตรียมนักเรียนด้วยการทำสมาธิ ๑๕ ท่านี้ ... แต่ผมตีความแบบ "ฟันธง" ด้วยประสบการณ์ทั้งตรงและอ้อมว่า กระบวนการนี้คือ ปัจจัยสำคัญของแนวปฏิบัติที่ดีของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม

นั่นหมายถึง หากโรงเรียนใดจะ นำเอาวิธีการขับเคลื่อนฯ แบบโรงเรียนเชียงขวัญฯ ไปทำ ต้องนำเอาวิธีการทำสมาธิเคลื่อนไหวสร้างจังหวะนี้ ไปเตรียมนักเรียนด้วย




บันทึกนี้ขอจบตรงนี้นะครับ   บันทึกต่อไป จะกล่าวถึงตัวอย่าง การน้อมนำไปใช้กับการสอนของครูหลายท่าน ที่ผมเห็นว่า น่าจะนำมาแบ่งปันกันได้

สศพ. _ ๐๒ : รูปแบบการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๒)

บันทึกที่ ๑

หลักการดำเนินงานขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ของ ผอ.ระวี และ อ.ฉลาด คือ การทำให้การน้อมนำฯคืองานประจำที่ทำเป็นหลัก โดยสร้างความตระหนัก ว่า การขับเคลื่อนฯ นั้นไม่ใช่งานเพิ่มเติมเสริมหลักสูตรแต่อย่างใด แต่หากแต่เป็น สิ่งที่ต้องน้อมนำไปใช้เป็น "หลักคิด" ในการภารกิจทุกอย่าง ตั้งแต่งานแผน วิชาการและการเรียนการสอน กิจกรรมเสริมหลักสูตร และการปลูกฝังในกิจวัตรปฏิบัติประจำวันของนักเรียน

ผมจะเล่าถึงหลักการให้ฟังทีละประเด็นเพื่อให้ท่านเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นเริ่มวางแผน "เคลียร์คอนเซ็ป" ลงมือปฏิบัติ และสะท้อนกลับเพื่อประเมินผลตนเอง กลับไป-กลับมา ก่อนจะขยายผลจากตนเอง (ครูและนักเรียนแกนนำ) ไปสู่คนใกล้กัน แล้วแบ่งปันไปยังผู้สนใจเป็นเครือข่ายต่างๆ ทั้งในชุมชน สังคม หรือ โรงเรียนอื่นๆ โดยเน้นความยั่งยืน "ระเบิดจากภายใน"



วางแผน -> หลักสูตรสถานศึกษา

เบื้องลึกที่ทำให้โรงเรียนเชียงขวัญฯ ขับเคลื่อนได้อย่างเข้าใจ คือ น้อมนำมาใช้ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ขั้นวางแผนของโรงเรียนทั้งหมด การสร้างหลักสูตรสถานศึกษา และการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ตามลำดับ ดังแผนภาพ


โดยมีลำดับขั้นตอนการทำตามลำดับ "หลักคิด" ต่อไปนี้ 
  • หลักสูตรแกนกลาง ๒๕๕๑ เรียกได้ว่า เป็น "หลักสูตรพอเพียง" เพราะนอกจากจะน้อมนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรอย่างรอบคอบแล้ว ยังได้กำหนดเป็น ๑ ใน ๕ ของเป้าหมายของหลักสูตร กล่าวคือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนเองนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ
  • หลักสูตรแกนกลาง ปี ๒๕๕๑ กำหนดเป้าหมายการจัดการเรียนรู้ไว้แล้ว ทั้งด้านความรู้ (Knowledge) ด้านทักษะ(กระบวนการ: Process) และด้านเจตคติ (Attude) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ๘ ประการ และสมรรถนะตามหลักสูตร ๘ ประการ
  • หลักสูตรแกนกลางถูกกำหนดให้เป็นสัดส่วน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ และเปิดโอกาสให้สถานศึกษา พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น (ของจังหวัด) อีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์  รวมเป็นหลักสูตรสถานศึกษาแต่ละแห่ง อาจเรียกว่า หลักสูตรของโรงเรียน ปี ๒๕๕๑ 
  • น้อมนำเอาเป้าหมายและแนวทางตามหลักสูตรของโรงเรียน มาทำเป็นแผนพัฒนาโรงเรียนทั้งระยะ ๕ ปี -> ๓ ปี -> และแผนปฏิบัติประจำปี 
  • โดยอาจารย์ผู้สอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ น้อมนำเอาหลักปรัชญาฯ มาเป็นหลักคิดในการทำแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการสอน คำอธิบายรายวิชา ให้เป็นแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง หรือเรียกว่า นำมาเป็น "หลักคิด"ในการปฏิบัติเพื่อสร้างแผนปฏิบัติในการพัฒนาการคิด
  • สร้างระบบประเมินผลความก้าวหน้าของผู้เรียน และความสมดุล ยั่งยืน
  • รายงานคุณภาพการจัดการเรียนการสอนต่อผู้บริหารและผู้ปกครอง 
ขั้นทำความเข้าใจให้ตรงกัน "เคลียร์คอนเซ็ป"

การทำให้เข้าใจ "คอนเซ็ป" หรือเข้าใจในหลักปรัชญาฯ นั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยการบอก "คอนเซ็ป" แต่ต้องให้นักเรียนได้ทดลองทำแล้วนำมาวิเคราะห์พิจารณา "ตีความ" ดังนั้น กระบวนการ "ถอดบทเรียน" ที่เขียนไว้ในบันทึกที่ ๑ จึงต้องเน้นการ "ตีความจากประสบการณ์จริงๆ ของตน"


ใน "เกณฑ์ก้าวหน้า"  หรือเกณฑ์ที่กำหนดแนวทางพัฒนาโรงเรียนสถานศึกษาพอเพียง กำหนดองค์ประกอบที่จะประเมินไว้ ๓ ด้าน ๔ กลุ่มคน โดยพิจารณาพัฒนาการไว้ ๕ ระดับ สำคัญคือต้องเริ่มจาก รู้และเข้าใจ -> แล้วนำไปฏิบัติ -> ชัดเจนถ่ายทอดได้ ->ขยายผลสู่คนอื่น -> ยั่งยืนระเบิดจากภายใน  รูปแบบการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนเชียงขวัญฯ มีจุดเด่นคือทำให้ "รู้และเข้าใจ" จึงทำให้ขั้นต่อไป ทำได้ไม่ยาก

การประเมินผลตาม "เกณฑ์ก้าวหน้า" กำหนดกลายๆ ว่าการขับเคลื่อนฯ นั้นทุกโรงเรียนต้องค้นหาและพัฒนาคนที่เป็น ครูแกนนำ -> ครูแกนนำไปสร้างนักเรียนแกนนำ -> ขยายผลสู่คนอื่นๆ ทั้งครูและนักเรียน -> ซึ่งจะส่งผลต่อครอบครัว ชุมชน โดยประเมินผลจากความเข้าใจและความพึงพอใจของคณะกรรมการบริหารสถานศึกษาและผู้ปกครอง ดังนั้น หากโรงเรียนใด "ครูแกนนำ" ไม่เข้าใจ ก็ยากที่จะก้าวไปในขั้นถัดไปสู่ความสำเร็จ



 

โดยเฉพาะขั้นตอนที่จะฝึกให้นักเรียนเข้าใจการน้อมนำไปใช้เชื่อมโยง ๔ มิติ  จะไม่สามารถสำเร็จได้เลย ถ้าโรงเรียนและครูยังมีการจัดการเรียนการสอนแบบ "่ถ่ายทอด" อย่างเดียว .... การ "ถอดบทเรียน" ของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม เป็นการ "สอนคิด" ที่ใช้การตั้งคำถาม ครู-นักเรียน จึงเกิดความเข้าใจ เพราะได้ "ฝึกคิด" นั่นเอง

การ "ถอดบทเรียน" ของโรงเรียนเชียงขวัญฯ ไม่ได้หมายถึง การถอดบทเรียนที่นักวิชาการหมายถึงทั่วไป (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) แต่ครูและผู้อำนวยการใช้คำว่า "ถอดบทเรียน" กับ ทั้งการสนทนา การตั้งคำถาม การระดมสมอง การสรุปปัญหา ฯลฯ  คือหมายถึงทุกๆ กิจกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน

อย่างไรก็ดี ปัจจัยของความสำเร็จของโรงเรียนเชียงขวัญฯ ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่หากอยู่ที่ดกระบวนการเตรียมนักเรียนให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่างหาก 

จะมาว่าให้ฟังในบันทึกต่อไปครับ ....


วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

สศพ. _ ๐๑ : รูปแบบการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๑)



โรงเรียนใดมีบริบทดังต่อไปนี้ วิธีขับเคลื่อนของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม น่าจะเหมาะสมก็ได้นะครับ  เชิญพิจารณา

มีครูประมาณ ๓๐ มีนักเรียนประมาณ ๕๐๐ คน เป็นไปตามกรอบเกณฑ์ (๑:๒๐)  ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำบล "ในเมือง" มีปัญหาเรื่องนักเรียนขาดแคลนทุนทรัพย์ และจำเป็นต้องรับนักเรียน "เหลือเลือก" หรือ "เหลือไล่" จากโรงเรียนชื่อใหญ่ๆ ในเมือง (เคย)มีปัญหาเรื่องบุหรี่ สุรา ยาเสพติด ขาดทักษะการคิด ทักษะชีวิตด้านสังคม และการทะเลาะวิวาท

หลังการน้อมนำหลักปรัชญาฯ มาใช้อย่างต่อเนื่อง ๓ ปี โดยใช้วิธีการ “ถอดบทเรียน” เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการคิดเพื่อสร้างความเข้าใจในหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำกิจกรรมทุกอย่างในโรงเรียน เป็นทั้ง “หลักปฏิบัติในการคิด” และเป็น “หลักคิดของการปฏิบัติ” เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงประจักษ์ทั้งด้านพฤติกรรมนักเรียน ปัญหาข้างต้นค่อยๆ หมดไป ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู และผู้บริหารที่ใช้การตั้งคำถามและอำนวยการให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้นๆ  จนกลายเป็น "โรงเรียนสอนคิด" มุ่งปลูกฝังทักษะชีวิตและอุปนิสัย "พอเพียง"  (เป็น ๑ ใน ๑๓ โรงเรียนแรกที่ได้รับการยืนยันให้เป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) 


จุดเริ่มต้น
 
การขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนเชียงขวัญฯ เป็นแบบ "ระเบิดจากภายในคน" จุดเริ่มต้นอยู่ที่คนๆ เดียว คือ อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ระวี ขุณิกากรณ์) ที่มีศรัทธาในหลักปรัชญาฯ จากการน้อมนำมาใช้จนเห็นผลกับตนเอง ท่านค่อยๆ สร้างการเรียนรู้หลักปรัชญาฯ บน  "ฐานการปฏิบัติ" ปล่อยให้ครูและนักเรียนผ่านการลองผิดลองถูก อย่างเป็นธรรม ค่อยๆปลูกฝังโดยใช้การตั้งคำถาม-พูดคุยสนทนา หรือท่านเรียกกระบวนการทั้งหมดนั้นว่า "การถอดบทเรียน" แล้วค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจ "หลักทฤษฎี"


ช่วงแรกๆ ของการพัฒนามุ่งไปที่ครู ท่านเปิดให้ทุกคนได้เรียนรู้ตามความสมัครใจ ส่งไปฝึกอบรมตามโครงการที่มูลนิสยามกัมมาจลจัดขึ้น แล้วตรวจสอบความสนใจจากความต่อเนื่องและใส่ใจในการนำมาใช้  เบื้องต้นนี้ท่านได้คนที่จะเป็นครูแกนนำขับเคลื่อนฯ ๑ คน คือ ครูฉลาด ปาโส ศิษย์เก่าที่เคยอยู่ในร่วมเงาของท่านนั่นเอง  และทั้งสองท่านก็ใช้วิธี "เป็นเงา" หรือ "เป็นคู่" ในการสร้างการเรียนรู้ในโรงเรียน และขยายขับเคลื่อนฯ สู่โรงเรียนอื่นๆ ในเวลาต่อมา  

หากจะขับเคลื่อนฯ แบบโรงเรียนเชียงขวัญฯ ที่เน้นการ "ถอดบทเรียน" จะต้องมี "นักตั้งคำถาม-อำนวยการเรียนรู้" แบบครูฉลาด มีผู้บริหารที่เห็นความสำคัญของการจัดการความรู้ที่ใช้วิธีสนทนาแลกเปลี่ยน และบริหารจัดการการศึกษาด้วยกระบวนการเชิงราบแบบ ผอ.ระวี 

ผอ. ระวี กับวิธีสร้างความเข้าใจให้นักเรียน

ในการประชุมครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ผอ.ระวี เปิดโอกาสให้ครูระดมสมองหาวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อน ปศพพ. ครูพิจารณาว่า โรงเรียนมีพื้นที่ทำการเกษตรอยู่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของผู้ปกครองและทักษะของนักเรียนในพื้นที่ กอปรกับ ผอ.ระวี ก็มีฐานการปฏิบัติตนด้านเกษตรจนครูทุกคนให้ความศรัทธา จึงมีมติว่า จะเริ่มกระบวนการขับเคลื่อนด้วยโครงการ "๑ ห้อง ๑ สวน" ไม่จำกัดว่าจะปลูกพืชผักอะไร แล้วแต่ความเห็นชอบของนักเรียนและครูที่ปรึกษาแต่ละห้อง โดยโรงเรียนสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในเรื่องน้ำ มีการวางระบบเดินท่อน้ำและนำถังขนาด ๒๐๐ ลิตรวางไว้เป็นจุดๆ   ล้อมรั้วโดยใช้ไม้ไผ่ตีกรอบเป็นแผงยาว จัดแบ่งพื้นที่รับผิดชอบเรียงตามลำดับชั้นเรียน และตกลงร่วมกันว่าจะจัดให้มีชั่วโมงของกิจกรรมนี้ (ชั่วโมง ปศพพ.) ในบ่ายวันพุธ  ๒ ชั่วโมงต่อกัน ให้ชั่วโมงแรกปฏิบัติกิจกรรมการเกษตร ชั่วโมงที่สองให้สรุปผลและ “ถอดบทเรียน” กิจกรรมของแต่ละห้อง





ในช่วงแรกๆ การถอดบทเรียนทำให้นักเรียนทุกคนจดจำ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติได้ขึ้นใจ แต่ยังเข้าใจว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของการเกษตร มีทั้งนักเรียนที่ชอบและไม่ชอบ ดังที่ท่านผอ.ระวีได้เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า  

 “มีนักเรียนชั้น  ม.ปลาย ขอเข้าพบ ผอ.ช่วงพักกลางวัน  แล้วถามว่าคาบเศรษฐกิจพอเพียงมีเพื่ออะไร  แม้แต่ครูเขาก็ไม่อยากลงไป  ผอ.ถามกลับว่าแล้วนักเรียนทำแปลงผักอะไร แล้วคิดเห็นอย่างไร นักเรียนตอบว่าปลูกมะนาว  เพราะคิดว่ามะนาวเป็นพืชเศรษฐกิจ  ลูกหนึ่งขายได้หลายบาท ผอ.ถามต่อว่าแปลงปลูกเป็นลักษณะแบบไหน  และได้วิธีการปลูกมาจากวิชาไหน  นักเรียนก็ช่วยกันตอบว่า  ปลูกระหว่างต้น  ระหว่างแถว  นำวิธีมาจากวิชาเกษตร แล้ว  ผอ. ก็ยังถามอีกว่าแล้วการปลูกมะนาวเกี่ยวข้องกับวิชาอื่นอีกหรือไม่  นักเรียนช่วยกันคิดก่อนตอบ  วิชาวิทยาศาสตร์เคยสอนว่ามะนาวมีรากแก้วรากฝอย  คณิตศาสตร์  การคำนวณหาพื้นที่ระหว่างต้น  ผอ.ตอบกลับไปว่านั่นแหละคือการบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องของการปลูกพืช แต่มีผลในการเอาหลักวิชาอื่นๆ มาใช้ได้ตั้งหลายวิชา  สิ่งที่พวกเธอทำในตอนนี้ ทั้งเรียนรู้เรื่องการปลูก  การดูแลรักษา  การแบ่งเวรกันทำงาน  ต้องมีคุณธรรม  มีวินัยในตนเอง  และหากนักเรียนมีต้นมะนาวที่บ้านจะได้นำวิชาความรู้ในชั่วโมงแปลงผักกลับไปใช้ที่บ้าน  ซึ่งเป็นการนำความรู้จากโรงเรียนไปสู่บ้านนั่นเอง”   

วิธีการตั้งคำถามและสนทนาแบบนี้ ผอ.ระวี  เรียกว่า  “การถอดบทเรียน” เมื่อนำมาใช้ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ทั้งครูและนักเรียนเข้าใจมากขึ้นๆ



อ.ฉลาด ปาโส กับโมเดล "เคลียร์คอนเซ็ป"

อาจารย์ฉลาดย้ำเสนอเสมอๆ ในเวทีการขับเคลื่อนฯ ว่า ก่อนเริ่มต้นนำไปใช้ ต้องสร้างความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ครั้งหนึ่งท่านเล่าว่า มักมีครูคณิตศาสตร์หรือครูฟิสิกส์ มาถามถึงการน้อมนำหลักปรัชญาฯ มาบูรณาการใช้กับการสอนของตนได้อย่างไร แสดงว่ายังไม่เข้าใจหลักการน้อมนำหลักปรัชญาฯ มาใช้เป็นหลักคิดในการจัดการเรียนการสอน  เมื่อเจอกรณีแบบนี้ท่านจะใช้วิธี "เคลียร์คอนเซ็ป" (Clear Concept) ดังนี้

ขั้นตอนการ "เคลียร์คอนเซ็ป" แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน คืด พาคิด ->ชวนคิด -> ฝึกคิด -> เชื่อมโยงการนำไปใช้ 

ช่วงพาคิด

แจกเอกสารดังรูปด้านล่าง หรือให้เขียนรูปลงในกระดาษ A4  แล้วพาครูคิดและเขียนเติมลงไปเป็นขั้นตอน ดังนี้




  • เขียนเติมกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ตนเองทำเพราะชอบ ทำแล้วสำเร็จ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วภูมิใจ ทำแล้วอยากบอกต่อ ลงในรูปหัวใจตรงกลาง
  • เขียนขัั้นตอนและวิธีการทำสิ่งนั้น ทำอย่างไร ไว้ในวงกลมด้านบน
  • เขียนความรู้ที่จำเป็นต้องมี ต้องมีความรู้และทักษะอะไรบ้างถึงจะทำสิ่งนั้นได้ดีและสำเร็จ ลงในวงกลมด้านซ้ายของรูปหัวใจ
  • เขียนคุณธรรม หรือคุณสมบัติใด ที่จะทำให้การทำกิจกรรมนั้นสำเร็จได้
ตอนที่ดำเนินกิจกรรม ขณะที่คุณครูกำลังเขียน ผมเพิ่มบรรยายกาศให้คึกคักและผ่อนคลาย โดยเดินไปแอบอ่านข้อความที่อาจารย์ต่างๆ เขียน เช่น บางคนเขียนว่า ชอบอบรมลูก ฯลฯ ...เสียง ฮา ดังไปทั่วห้องทีเดียวครับ

ช่วงชวนคิด

หลังจากที่ทุกคนเขียนเสร็จแล้ว ขั้นตอนไปคือ ชวนคิดเชื่อมโยงกับ ปศพพ. คำถามคือ "ท่านคิดว่ากิจกรรมที่เราเพิ่งทำร่วมกันนี้ เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่อย่างไร"
... สำหรับครูแล้ว เรื่องนี้ไม่ยากเลยครับ ที่จะได้ข้อสรุปว่า
  • สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วอยากบอกต่อ สิ่งที่ทำแล้วภูมิใจ  ทำแล้วไม่เกิดผลเสียต่อตัวเอง นั่นคือ สิ่งที่เรา "พอใจ" ซึ่งย่อมต้องเกิดมาจาก "ความพอเพียง" พอดี พอมี พอได้ อยู่ในกิจกรรมนั้นๆ แล้ว.....และถ้าถามว่า ทำไมถึงทำกิจกรรมนั้น ทุกคนย่อมมี "เหตุผล" ในการทำสิ่งนั้นเสมอ นี่คือ ห่วงเหตุผลใน ๓ห่วง๒เงื่อนไข
  • สิ่งที่เขียนในวงกลมด้านบนของรูปหัวใจ ที่บอกวิธีและขั้นตอนในการทำกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งทำได้สำเร็จก็เพราะมีความ "พอประมาณ" กับตนเองนั่นเอง วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมนี่เองที่หมายถึงความพอประมาณในการทำสิ่งใดๆ  นี่คือห่วงพอประมาณ
  • วงกลมด้านล่างซ้ายที่เขียนเกี่ยวกับความรู้ ก็คือ เงื่อนไขความรู้
  • วงกลมด้านขวา ที่เขียนเกี่ยวกับคุณธรรมและปัจจัยที่ทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องมีการวางแผนและตรวจสอบประเมินพัฒนา และป้องกันความผิดพลาดไว้ ก็คือ เงื่อนไขคุณธรรม และห่วงภูมิคุ้มกัน นั่นเอง 
หากครูทุกคนนำกิจกรรมนี้ไปใช้กับนักเรียนติดต่อกันอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ทุกอาทิตย์ ติดต่อกัน ๓ เดือน นักเรียนจะเข้าใจ การนำ ปศพพ. ไปใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน



ช่วงฝึกคิด

เมื่อจำกรอบคิดของหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้แล้ว อาจารย์ฉลาดจะให้ครู/นักเรียนหยิบเอาขั้นตอนหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เขียนไว้ในวงกลมเหนือรูปหัวใจ มาวิเคราะห์ตีความลงในตาราง ๖ ช่อง (ด้านล่าง) วิธีนี้จะทำให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น เป็นการสร้างกิจกรรมนำให้ได้ "ฝึกคิด" 

กิจกรรม
เงื่อนไขความรู้
ความพอประมาณ
มีเหตุผล
มีภูมิคุ้มกัน
เงื่อนไขคุณธรรม

















ช่วงคิดเชื่อมโยงการนำไปใช้

ขั้นสุดท้ายของการ "เคลียร์คอนเซ็ป" คือการพิจารณาถึงผลกระทบจากการกระทำนั้นๆ ทั้งในทางดีที่เป็นประโยชน์และในทางที่เป็นโทษหรือไม่ดี โดยคำนึงถึงใน ๒ ระดับ คือ ตนเองและสังคม และมองใน ๔ มิติเป็นกรอบคิด ได้แก่ สังคม  เศรษฐกิจ  วัฒนธรรม  และสิ่งแวดล้อม ดังตาราง



ประโยชน์/
ผลกระทบ
ต่อตนเอง
สังคม
เศรษฐกิจ
วัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม



















ช่วงพาคิด

ผมนำเทคนิคของอาจารย์ฉลาด ปาโส (โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม) มาใช้โดย แจกเอกสารดังรูปด้านล่าง


แล้วพาครูคิดและเขียนเติมลงไปเป็นขั้นตอน ดังนี้
  • เขียนเติมกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ตนเองทำเพราะชอบ ทำแล้วสำเร็จ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วภูมิใจ ทำแล้วอยากบอกต่อ ลงในรูปหัวใจตรงกลาง
  • เขียนขัั้นตอนและวิธีการทำสิ่งนั้น ทำอย่างไร ไว้ในวงกลมด้านบน
  • เขียนความรู้ที่จำเป็นต้องมี ต้องมีความรู้และทักษะอะไรบ้างถึงจะทำสิ่งนั้นได้ดีและสำเร็จ ลงในวงกลมด้านซ้ายของรูปหัวใจ
  • เขียนคุณธรรม หรือคุณสมบัติใด ที่จะทำให้การทำกิจกรรมนั้นสำเร็จได้ 
ตอนที่ดำเนินกิจกรรม ขณะที่คุณครูกำลังเขียน ผมเพิ่มบรรยายกาศให้คึกคักและผ่อนคลาย โดยเดินไปแอบอ่านข้อความที่อาจารย์ต่างๆ เขียน เช่น บางคนเขียนว่า ชอบอบรมลูก ฯลฯ ...เสียง ฮา ดังไปทั่วห้องทีเดียวครับ

ช่วงชวนคิด

หลังจากที่ทุกคนเขียนเสร็จแล้ว ขั้นตอนไปคือ ชวนคิดเชื่อมโยงกับ ปศพพ. คำถามคือ "ท่านคิดว่ากิจกรรมที่เราเพิ่งทำร่วมกันนี้ เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่อย่างไร"
... สำหรับครูแล้ว เรื่องนี้ไม่ยากเลยครับ ที่จะได้ข้อสรุปว่า
  • สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วอยากบอกต่อ สิ่งที่ทำแล้วภูมิใจ  ทำแล้วไม่เกิดผลเสียต่อตัวเอง นั่นคือ สิ่งที่เรา "พอใจ" ซึ่งย่อมต้องเกิดมาจาก "ความพอเพียง" พอดี พอมี พอได้ อยู่ในกิจกรรมนั้นๆ แล้ว.....และถ้าถามว่า ทำไมถึงทำกิจกรรมนั้น ทุกคนย่อมมี "เหตุผล" ในการทำสิ่งนั้นเสมอ นี่คือ ห่วงเหตุผลใน ๓ห่วง๒เงื่อนไข
  • สิ่งที่เขียนในวงกลมด้านบนของรูปหัวใจ ที่บอกวิธีและขั้นตอนในการทำกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งทำได้สำเร็จก็เพราะมีความ "พอประมาณ" กับตนเองนั่นเอง วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมนี่เองที่หมายถึงความพอประมาณในการทำสิ่งใดๆ  นี่คือห่วงพอประมาณ
  • วงกลมด้านล่างซ้ายที่เขียนเกี่ยวกับความรู้ ก็คือ เงื่อนไขความรู้
  • วงกลมด้านขวา ที่เขียนเกี่ยวกับคุณธรรมและปัจจัยที่ทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องมีการวางแผนและตรวจสอบประเมินพัฒนา และป้องกันความผิดพลาดไว้ ก็คือ เงื่อนไขคุณธรรม และห่วงภูมิคุ้มกัน นั่นเอง 
ผมท้าทายว่า หากครูทุกคนนำกิจกรรมนี้ไปใช้กับนักเรียนติดต่อกันอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ทุกอาทิตย์ ติดต่อกัน ๓ เดือน นักเรียนจะเข้าใจ การนำ ปศพพ. ไปใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/560051
กระบวนการทั้ง ๔ ขั้นตอนนี้ อาจารย์ฉลาด เรียกว่า "ถอดบทเรียน" ท่านจะใช้วิธีการนี้เป็นเครื่องมือสำคัญอันดับแรกในการขับเคลื่อนฯ ทั้งสู่เพื่อนครูให้ไปทำกับนักเรียน 

วิธีนี้มีประสิทธิภาพมากในการทำให้จำ "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ" ได้  เข้าใจ และสามารถตีความ กิจกรรมหรือการกระทำต่างๆ ว่า สอดคล้องกับหลักปรัชญาฯ อย่างไร  ถือเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการ น้อมนำไปใช้กับตนเองในการดำเนินชีวิตจริง  

ผู้อ่านสามารถดูคลิปวิดีโอของ อ.ฉลาด ปาโส ที่บรรยายเรื่องนี้เมื่อครั้งไปขับเคลื่อน โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ที่นี่ 

วันนี้ขอกล่าวไว้ในมุมมอง "ปัจจัย" "เงื่อนไข" และ "เครื่องมือ" แบบที่กล่าวมานี้ครับ พรุ่งนี้จะมาว่าเรื่อง รูปแบบการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนเชียงขวัญในภาพรวมทั้งหมดครับ 

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

SEEN อีสาน _๐๙ : ร่วมงานมหกรรมวิชาการฯ โรงเรียนชุมชนบ้านดอนหัน สพป.ขอนแก่น เขต ๓

วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ทีมขับเคลื่อน SEEN อีสาน ไปร่วมงาน "มหกรรมวิชาการ สืบสานศิลปวัฒนธรรม น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยเรียงสู่อาเซียน" ณ โรงเรียนชุมชนบ้านดอนหัน อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น วัตถุประสงค์ของการจัดงาน ๓ ประการ ๑) การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความรู้ ความสามารถ และผลงานต่อผู้ปกครอง สาธารณะชน บุคคลทั่วไป ๒)ประชาสัมพันธ์และรายงานผลการจัดการศึกษาของโรงเรียน และ ๓) เสริมสร้างกำลังใจให้กับบุคลากรและนักเรียนเป็นคนดี คนเก่ง สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

จากการสังเกตเรียนรู้จากการฟัง ดู สอบถาม สัมภาษณ์ สนทนา ตลอด ๕ ชั่วโมงเศษ (เราไปถึงโรงเรียนประมาณ ๘:๔๕ น. และเดินทางกลับเวลา ๑๔:๐๐ น.) ในภาพรวมพบว่า โรงเรียนประสบผลสำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ ๓ ประการข้างต้นอย่างดี สะท้อนผลการน้อมนำหลักปรัชญาไปใช้ในการจัดการในครั้งนี้ทุกขั้นตอน การดำเนินงานที่ไหลลื่นลงตัว ต่างคนต่างครูรู้หน้าที่และมีชุมชนและผู้ปกครองมาร่วมงานอย่างคับคั่ง การแสดงบนเวทีไม่มีข้อผิดพลาดบกพร่องใด  เด็กๆ ได้แสดงความสามารถแสดงบนเวทีได้อย่างดีเต็มที่ๆ ตระเตรียมมา และเห็น "ความสุข" บนใบหน้าของพ่อแม่ผู้ปกครอง ต่างส่งเสียเชียร์ดังก้องเป็นระยะๆ

ผมวิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่เห็นว่า จุดเด่นที่สุดของโรงเรียนชุมชนบ้านดอนหัน คือความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ความรู้ความเห็นของประธานคณะกรรมการสถานศึกษา ท่านคณาธิป ไพรศรี สอดคล้องหนุนเนื่องกันกับแนวทางการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน และงานครั้งนี้ยังมี ผอ.ดร.ศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการ สพป.นอนแก่น เขต ๓ มาเป็นประธานเปิดงาน ท่านยังทำหน้าที่ประเมินแนะนำเหมือนกรรมการประเมินฯ ทำให้ทั้งครูและนักเรียนได้ประโยนช์ และเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนฯ ต่อไป  ผอ.เสกสัณห์ ลุนบง ท่านน่าจะเขียนแนวปฏิบัติหรือ "หลักปฏิบัติที่พอเพียง" เรื่องนี้น่าจะเป็นผลดีต่อผู้กำลังขับเคลื่อนฯ



... อะไรที่เราทำสำเร็จโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แสดงว่าเราทำเรื่องนั้นอย่างพอเพียงในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว...


ดูรูปทั้งหมดที่นี่

หลังจากรับประทานอาหารเที่ยง ท่านผอ. และประธานกรรมการสถานศึกษา เปิดโอกาสให้ผมได้ให้ feedback ป้อนกลับเพื่อรับไปเป็นแนวทางปรับปรุงต่อไป    ผมได้ให้ความเห็นต่อท่านและคณะครูแบบตรงไปตรงมาแบบค่อนข้างเป็นเชิงลบ ซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับการให้การสะท้อนเพื่อพัฒนา  ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับโรงเรียนที่กำลังขับเคลื่อน จึงนำมาสรุปไว้อีกครั้งในบันทึกนี้

ข้อความเห็นต่อการจัดการมหกรรมวิชาการ

แม้ผมจะชื่นชมว่า สามารถจัดงานได้บรรลุตามเป้าหมายทุกด้าน แต่การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำเสนอความรู้ความสามารถของตนเอง เน้นเฉพาะกิจกรรมการแสดงความสามารถด้านศิลปะและวัฒนธรรม การแสดง การฟ้อนรำ ดนตรีโปงลาง และกิจกรรมบนเวที  แต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำเสนอผลงานด้านวิชาการมากนัก ควรจัดให้นักเรียนทุกคนได้นำเสนอผลงานการเรียนรู้ของตนเอง เช่น ผลผลิต ชิ้นงาน หรือทักษะความสามารถด้านวิชาการต่าง ฯลฯ  โดยจัดเป็นกำหนดเวลาอย่างชัดเจน ให้นักเรียนเจ้าของผลงานไปประจำหน้าผลงานของตน แล้วเชิญชวนให้ผู้ปกครองหรือบุคคลภายนอกที่มาร่วมงาน เข้าไปรับชมการนำเสนอของนักเรียน ...  หลักการคือ จัดงานให้เป็นงานนำเสนอของนักเรียนด้วย ไม่ใช่เพียงการนำเสนอผลงานของครูหรือโรงเรียน... อาจจะจัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ก่อนวันงานเผยแพร่สู่สาธารณะชน ๑ วัน... (ผมอยากไปร่วมงานนี้ครับ คราวหลังแจ้งข่าวผมอีกนะครับ หากไม่ติดภารกิจใด จะไปแน่นอนครับ)

ข้อสะท้อนจากการเยี่ยมประเมินเพื่อพัฒนา ในเวลา ๕ ชั่วโมง

๑) หากแบ่งพัฒนาการของนักเรียน จากการขับเคลื่อน ปศพพ. เป็น ๓ ระดับ คือ ระดับมูลค่า คุ้มค่า และ ระดับเข้าถึงคุณค่า ดังที่ผมได้นำเสนอไว้ที่นี่ 

พัฒนาการของนักเรียนชั้นมัธยมต้น ที่ยืนประจำอยู่ในบุ๊ตแสดงผลงานที่ผมได้เข้าไปทดลองสอบถาม เกือบทั้งหมด ยังอยู่ในระดับ รับรู้ จดจำ นำไปใช้ระดับ "มูลค่า" ยังไม่สามารถตอบคำถามเชื่อมโยงกับหลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียงได้

หลักการและวิธีในการถามของผม มุ่งเน้นประเมินระดับของความเข้าใจ เข้าถึง ของเด็กนักเรียนแต่ละคน ดังนี้
  • หลังจากให้เกริ่นว่า เป็นใคร ทำไมถึงได้เป็นคนที่ถูกเลือกมานำเสนอผลงานแล้ว ผมจะเริ่มต้นด้วยคำถามว่า " ในบุ๊ตแสดงผลงานนี้ มีงานชิ้นไหน หรือผลงานไหน ที่นักเรียนได้ทำเพื่อตนเองบ้าง "  หากนักเรียนตอบว่า "ไม่มี" ผมจะสอบถามตรวจสอบว่าระดับ "ความคิด" ว่า สามารถวิเคราะห์ความ "คุ้มค่า" โดยใช้หลักปรัชญาฯ ได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็แสดงว่าอยู่ระดับ "รับรู้ จดจำ" เท่านั้น 
  • หากนักเรียนตอบว่า "มีค่ะ มีครับ" ผมก็จะให้นักเรียนนำผลงานหรือชิ้นงานนั้น มานำเสนอให้ฟัง  แบบเล่าเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วค่อยเริ่มถาม "ตามสูตร" โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ นำ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ไปใช้กับตนเอง และส่วนผลดีหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่างๆ ทั้ง ๔ ตามแต่สมควร  
    • ถ้าจะทำให้สำเร็จและได้ผลดีที่สุดต้องมีความรู้อะไรบ้าง (เงื่อนไขความรู้) เมื่อนักเรียนตอบองค์ความรู้อะไรมา ก็ถามต่อว่า มีความรู้พอไหม (พอประมาณ)  ไม่รู้เรื่องนั้นๆ ได้ไหม จะส่งผลต่องานอย่างไรหากไม่รู้เรื่องนั้น (เหตุผล) มีวิธีค้นหาองค์ความรู้นั้นๆ มาอย่างไร  หากตอบว่าอ่านจากหนังสือ ก็ถามต่อว่า  หนังสืออะไร ประเภทไหน หากจากบอกว่าสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ใช้คำสำคัญสืบค้นว่าอะไร ได้ความรู้จากเว็บไซต์อะไร ...  เป็นต้น นักเรียนอาจตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เราจะทราบได้รับหนึ่งว่า เด็กนั้น สืบค้นความรู้ หรือเรียนรู้เองเป็นไหม  มั่นใจในตนเอง และมีไหวพริบปฎพานในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (ในที่นี้คือตอบคำถามที่ตนเองไม่ทราบคำตอบ) และสุดท้าย คำถามสำคัญคือ นักเรียนรู้ได้อย่างไรว่า ข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่ตนเองได้นั้นน่าเชื่อถือ หรือถูกต้อง คือนักเรียนควรรู้จักแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือ หรือรู้จักวิธีตรวจสอบความรู้ (การมีภูมิคุ้มกันที่ดี)
    • เริ่มถามตั้งแต่ ทำไมถึงต้องทำงานชิ้นนี้ ไม่ทำได้ไหม  ถ้านักเรียนเป็นคนคิดเอง ก็ให้เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากทำ คำตอบของนักเรียน จะแสดงให้เห็นระดับการ "เข้าถึง" ระดับ "คุณค่า" ว่าระเบิดออกมาจากภายในตัวเด็กเอง  แต่ถ้าหากพิจารณาพบว่า ครูเป็นคนคิด ก็ให้ถามต่อไปว่า ทำไมครูจึงให้ทำงานชิ้นนี้ หรือ  นักเรียนคิดว่าครูมีวัตถุประสงค์อะไร จึงมอบหมายให้เราต้องทำงานนี้  หากครูปลูกฝังได้ถูกต้อง นักเรียนจะทราบเหตุผลทุกครั้งว่า ครูมอบหมายให้ทำงานชิ้นนั้นไปทำไม เพื่ออะไร   อย่างไรก็ดี วิธีถามแบบนี้ควรใช้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพราะเป็นทักษะการคิดขั้นสูง (คิดวิเคราะห์ ตีความ อย่างเป็นเหตุเป็นผล) อาจยังไม่เหมาะสมกับนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เน้นการพัฒนาด้วยการปลูกฝังพฤติกรรมและทักษะการอ่านออกเขียนได้พื้นฐาน
  • หากนักเรียนสามารถเล่าเรื่อง สนทนา ตอบคำถามได้อย่างไม่เก้อเขินตามวิธีการที่กล่าวมา ก็ถือได้ว่า นักเรียนพัฒนามาถึงระดับ "คุ้มค่า" แล้ว  ขั้นต่อไป คือต้องประเมินทางอ้อมว่า นักเรียนถึง "เข้าถึง" ระดับ "คุณค่า" หรือไม่ โดยขยายขอบเขตของคำถามออกไปในมิติต่างๆ ได้แก่ 
    • ขยายไปจากตนไปสู่คนอื่นๆ ผลงานหรือสิ่งที่นักเรียนทำมีประโยชน์และผลกระทบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างไร นักเรียนที่ได้รับการขับเคลื่อนฯ มาอย่างถูกต้อง จะรู้จัก ๔ มิติ ได้แก่ มิติวัตถุหรือเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม และสามารถตอบคำถามโดยใช้กรอบคิดแบบ ๔ มิตินี้ได้ หากนักเรียนตอบไปถึงขึ้น "แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ" และสังเกตเห็นความมุ่งมั่น และความสุขในแววตาขณะเล่าเรื่อง ... หากเป็นดังนั้น ก็เข้าใจว่า "เข้าถึง"...  วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับนักแสดงนะครับ...
    • ขยายไปในอดีตและอนาคต (ขยายกรอบเวลา) เช่น โตขึ้น วางแผนชีวิตอย่างไรบ้าง อยากเป็นอะไร เพราะอะไร ฯลฯ หรือ เราเป็นนักเรียนควรทำตัวอย่างไร (พอประมาณ รู้บทบาทหน้าที่)  หรือ ที่ผ่านมาเราคิดว่าตนเอง "พอเพียงไหม"  แล้วให้นักเรียนเล่าเรื่องยกตัวอย่างเหตุการณ์ ว่าตนเอง พอเพียงตอนไหน ไม่พอเพียงตอนไหน  หากนักเรียนเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเองได้อย่างชัดเจน ก็พอจะเห็นว่าเกิด "ระเบิดจากภายใน" ได้เหมือนกันครับ 
 ๒) ผอ. เสกสัณห์ บอกว่า ขับเคลื่อนฯ ด้วยวิธีการ "ถอดบทเรียน" มานานแล้วถึง ๓ ปี แต่จากการประเมินเบื้องต้นวันนี้ พบว่านักเรียนที่ตอบคำถามประจำบุ๊ตแสดงผลงาน ยังไม่ผ่านขั้น "ความคิด เข้าใจ" แสดงว่า ต้องมีอะไรที่ไม่ "พอเพียง" ในกระบวนการ "ถอดบทเรียน" อาจเป็นไปได้ ๓ สาเหตุ คือ
  • กรณีที่ ๑ คือ ไม่ทำต่อเนื่อง หรือ "ฝึก" ไม่พอ ... ข้อนี้คณะครูก็เห็นด้วย จึงได้รับปากว่าจะขับเคลื่อนให้ ต่อเนื่อง บ่อยซ้ำ ย้ำ ทวน  สาเหตุที่มักพบวคือ กิจกรรมการขับเคลื่อนฯ อาจไม่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต หรือกิจวัตรประจำวันของนักเรียน  ทำให้นักเรียนไม่ได้ "ฝึก" หรือรับการปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง  โรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนฯ จะมีการจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการกับทั้งกิจกรรมเสริม และกิจวัตรหรือชีวิตประจำวันของนักเรียน ทำให้นักเรียนได้ฝึก ได้เรียนรู้ หลักปรัชญา ปศพพ. อย่างต่อเนื่องทั้งวัน ทุกวิชา ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
  • กรณีที่ ๒ ใช้คำถามที่ไม่สามารถกระตุ้นให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" เพียงพอ  หรือพูดให้กว้างขึ้นคือ ครูยังลงในรายละเอียดไม่เพียงพอ ... ลองสังเกตจากตัวอย่างต่อไปนี้ครับ

สังเกตว่า แบบฟอร์มดังภาพ เน้นให้นักเรียนสรุปองค์ความรู้ในเรื่องที่ทำลงบนพื้นที่ว่างกลางกระดาษแบบอิสระ โดยใช้สีและลวดลายต่างๆ แล้วให้นักเรียน "ถอดบทเรียน" ลงใน ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ แบบ "จับใส่กล่อง"   วิธีนี้แสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจังในการขับเคลื่อน ปศพพ. ของครู  ... ผมอยากแนะนำวิธีทำให้นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึกทำ มากขึ้นดังนี้ ครับ
    • จากที่ให้นักเรียนเขียนล้อมกรอบ ระบายสี ที่เน้นให้สวยงาม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ เนื้อความที่นักเรียนเขียนนั้น ให้เปลี่ยนมาให้นักเรียนเขียน flow chart ขั้นตอนการทำ และให้วาดรูปอุปกรณ์ที่ใช้ จะดีกว่า หลักการคือ ให้บูรณาการระหว่างซีกสมองซ้ายขวาจริงๆ 
    • ให้นักเรียน "ถอดบทเรียน" ให้เชื่อมโยงมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น หลายชั้นมากขึ้น ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่นี่ครับ   ตัวอย่างเช่น  ห่วงเหตุผลที่นักเรียนเขียนว่า "ทำเพื่อใช้เอง" เราก็ตามต่อว่า "ทำไมต้องทำใช้เอง " ถามต่อไปเรื่อยๆ หลายๆ ชั้น  ครูน่าจะให้เนื้อที่ หรือพื้นที่ในการคิดเขียนมากขึ้น
  • กรณีที่ ๓ คือ ถอดบทเรียนแบบ "หลงประเด็น" หรือตกร่อง "ชิ้นงาน"   ประเด็นสำคัญของการขับเคลื่อน ปศพพ. คือ การพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะตามหลักสูตรแกนกลาง ๕๑ ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า นักเรียนแต่ละระดับจะต้องมีความรู้ ความสามารถ หรือสมรรถนะ อย่างไร ถึงจะพอเพียงต่อการเรียนรู้และดำเนินชีวิต  ดังนั้น การถอดบทเรียนโดยแบบ "จับใส่กล่อง" ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข  ๔ มิติ (๓-๒-๔) จึงเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ "หลักคิด" หรือหลักปฏิบัติในการคิดและทำสิ่งต่างๆ เท่านั้น เป้าหมายจริงๆ จึงเป็นเป้าหมายตามหลักสูตร  หากเข้าใจผิดว่า การขับเคลื่อน ปศพพ. เป็นเพียงโครงการเพิ่มเติมจากหลักสูตร เพื่อจะรองรับการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ  จึงต้องมีร่องรอยของการถอดบทเรียนให้เข้ากับ ๓-๒-๔ เท่านั้น ถือว่ายังตกร่องของ "ชิ้นงาน" คือเน้นชิ้นงาน เน้นปริมาณ  แต่ความจริง การขับเคลื่อนฯ ต้องมุ่งไปยังผลลัพธ์ที่ตัวนักเรียนเป็นสำคัญ หรือกล่าวอีกอย่างคือ หากผู้ประเมินพบว่า นักเรียนไม่ได้บรรลุคุณลักษณะตามหลักสูตรฯ  หลักฐานต่างๆ ก็ไม่มีความหมาย  เช่น นักรียน ป.๑ ป.๒ อ่านหนังสือไม่ออก ... อย่างนี้ถือว่า ไม่พอเพียง หรือ นักเรียน ม.๑ ม.๒ คิดแก้ปัญหาไม่เป็น ... ก็ถือว่าไม่บรรล... สำหรับโรงเรียนที่จะเป็น ร.ร.ศรร. นั้น นอกจากนักเรียนแกนนำจะบรรลุตามเป้าประสงค์ของหลักสูตรฯ แล้ว ยังต้องสามารถ ถ่ายทอด ตีความเชื่อมโยงเข้ากับ ๓-๒-๔ ได้อย่างคล่องแคล่ว  

ผมเห็นความตั้งใจของ ผอ.เสกสัณห์ และคณะครู ผมก็ดีใจครับ และจะช่วยท่านเต็มตามศักยภาพครับ...